ชีวิตเหมือนถูกสาป ไม่จำเริญในพระสัทธรรม ซ้ำยังมีแต่ความเสื่อมถอยตกต่ำลงไปเรื่อยๆมิจบมิสิ้น เพราะเป็นผู้ที่มีกิเลสประเภทหนึ่งที่ชื่อว่า #ปรวัชชานุปัสสี
"ปรวัชชานุปัสสี" หมายถึง ผู้มีปกติคอยจ้องมองหาโทษหรือข้อผิดพลาดบกพร่องของผู้อื่นอยู่เสมอ หรือหนักไปกว่า#เสมอ คือ #ตลอดเวลา
กิเลสประเภทนี้มักเกิดร่วมกับ #มักขะ (การลบหลู่คุณผู้อื่น) และ #ปลาสะ (การตีเสมอหรือยกตัวขึ้นเทียบผู้อื่น) ซึ่งทำให้ใจหม่นหมองแลไม่เห็นคุณค่าความดีของผู้อื่น ผสานเข้ากับความ#อิจฉาริษยา ด้วย ไม่มากก็น้อย.
คำว่า "ปรวัชชานุปัสสี" ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท(ตถาคตวรรคที่ ๑๘) โดยมีเนื้อหาคาถาธรรมบท ซึ่ง#พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า:
"ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารกา โส อาสวกฺขยา"
แปลว่า: "เมื่อบุคคลคอยเฝ้ามองแต่โทษของผู้อื่น(ปรวัชชานุปัสสี). มีความสำคัญผิดในการเพ่งโทษเป็นปกติ(อุชฌานสัญญี). อาสวะย่อมเจริญแก่เขา. บุคคลนั้นยิ่งจักอยู่ไกลจากความสิ้นไปแห่งอาสวะ"
ปรวัชชานุปัสสี: (ปะ-ระ-วัด-ชา-นุ-ปัด-สี) แปลว่า ผู้มีปกติคอย#สอดส่องมองหาโทษของคนอื่น คือคนจ้องจับผิด
#อุชฌานสัญญี: แปลว่า ผู้ชอบ#เพ่งโทษผู้อื่น หรือมีความคิดที่จะคอย#ตำหนิผู้อื่นอยู่เสมอ
#คำอธิบายเพิ่มเติม: กิเลสประเภทนี้ทำให้ใจขุ่นมัว เพราะแทนที่จะใช้เวลาในการตรวจสอบพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่คนประเภทนี้กลับ#ส่งจิตออกนอกไป#ตำหนิผู้อื่น ทำให้ห่างไกลจากพระสัทธรรม#ทางพ้นทุกข์
#กิเลส "ปรวัชชานุปัสสี" นี้เกิดมากขึ้นในหมู่คนยุคสมัยใหม่ที่อ่านหนังสือออกแล้ว(ต่างจากคนยุคโบราณที่น้อยคนนักจักอ่านหนังสือออก คนโบราณจึงสำคัญตนน้อยและมีกิเลสชนิดนี้น้อยกว่าคนยุคสมัยใหม่) จึงมักสำคัญตนว่ามีความรู้มีความเข้าใจหลักปริยัติธรรมมากพอจากการอ่านการฟังเทศน์ เป็นต้น. แต่ใครก็ตามที่ยิ่งมีกิเลสชนิดนี้ขึ้นมาในจิตก็ยิ่งชี้ให้เห็นว่าบุคคลนั้น แท้จริงแล้ว ไม่รู้อะไรเลย. สิ่งที่เขารู้นั้นเป็นแต่เพียงเครื่องมือให้กิเลสเอาไปใช้สำแดงฤทธิ์มิจฉาทิฏฐิข่มผู้อื่นเท่านั้น และยิ่งเมื่อไปข่มไปจับผิดใครเขาเข้า ก็ยิ่ง#ฉุดคร่าพาให้จิตตน#ตกต่ำลงสู่#อบายภูมิลึกลงๆๆๆ ฯลฯ เรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่รู้จักสำนึกปรับปรุงตน..
ฉะนั้น หลวงปู่ใหญ่จึงขอบิณฑบาตให้ลูกหลานจงพากเพียรระวัง อย่าให้ตนเองมีกิเลส "ปรวัชชานุปัสสี" แลกิเลสตัณหาอุปาทานทุกประเภทเลย..
นะลูกหลานเอ๊ยฯ
_________
[#สาส์นพิสุทธิ์เหนือทิพย์ จาก หลวงปู่เทพโลกอุดร]
🪷🪷🪷🪷🪷🪷🪷🪷🪷
ในห้องพุทธใครติดกิเลสปรวัชชานุปัสสี เข้ามาอ่าน
"ปรวัชชานุปัสสี" หมายถึง ผู้มีปกติคอยจ้องมองหาโทษหรือข้อผิดพลาดบกพร่องของผู้อื่นอยู่เสมอ หรือหนักไปกว่า#เสมอ คือ #ตลอดเวลา
กิเลสประเภทนี้มักเกิดร่วมกับ #มักขะ (การลบหลู่คุณผู้อื่น) และ #ปลาสะ (การตีเสมอหรือยกตัวขึ้นเทียบผู้อื่น) ซึ่งทำให้ใจหม่นหมองแลไม่เห็นคุณค่าความดีของผู้อื่น ผสานเข้ากับความ#อิจฉาริษยา ด้วย ไม่มากก็น้อย.
คำว่า "ปรวัชชานุปัสสี" ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท(ตถาคตวรรคที่ ๑๘) โดยมีเนื้อหาคาถาธรรมบท ซึ่ง#พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า:
"ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารกา โส อาสวกฺขยา"
แปลว่า: "เมื่อบุคคลคอยเฝ้ามองแต่โทษของผู้อื่น(ปรวัชชานุปัสสี). มีความสำคัญผิดในการเพ่งโทษเป็นปกติ(อุชฌานสัญญี). อาสวะย่อมเจริญแก่เขา. บุคคลนั้นยิ่งจักอยู่ไกลจากความสิ้นไปแห่งอาสวะ"
ปรวัชชานุปัสสี: (ปะ-ระ-วัด-ชา-นุ-ปัด-สี) แปลว่า ผู้มีปกติคอย#สอดส่องมองหาโทษของคนอื่น คือคนจ้องจับผิด
#อุชฌานสัญญี: แปลว่า ผู้ชอบ#เพ่งโทษผู้อื่น หรือมีความคิดที่จะคอย#ตำหนิผู้อื่นอยู่เสมอ
#คำอธิบายเพิ่มเติม: กิเลสประเภทนี้ทำให้ใจขุ่นมัว เพราะแทนที่จะใช้เวลาในการตรวจสอบพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่คนประเภทนี้กลับ#ส่งจิตออกนอกไป#ตำหนิผู้อื่น ทำให้ห่างไกลจากพระสัทธรรม#ทางพ้นทุกข์
#กิเลส "ปรวัชชานุปัสสี" นี้เกิดมากขึ้นในหมู่คนยุคสมัยใหม่ที่อ่านหนังสือออกแล้ว(ต่างจากคนยุคโบราณที่น้อยคนนักจักอ่านหนังสือออก คนโบราณจึงสำคัญตนน้อยและมีกิเลสชนิดนี้น้อยกว่าคนยุคสมัยใหม่) จึงมักสำคัญตนว่ามีความรู้มีความเข้าใจหลักปริยัติธรรมมากพอจากการอ่านการฟังเทศน์ เป็นต้น. แต่ใครก็ตามที่ยิ่งมีกิเลสชนิดนี้ขึ้นมาในจิตก็ยิ่งชี้ให้เห็นว่าบุคคลนั้น แท้จริงแล้ว ไม่รู้อะไรเลย. สิ่งที่เขารู้นั้นเป็นแต่เพียงเครื่องมือให้กิเลสเอาไปใช้สำแดงฤทธิ์มิจฉาทิฏฐิข่มผู้อื่นเท่านั้น และยิ่งเมื่อไปข่มไปจับผิดใครเขาเข้า ก็ยิ่ง#ฉุดคร่าพาให้จิตตน#ตกต่ำลงสู่#อบายภูมิลึกลงๆๆๆ ฯลฯ เรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่รู้จักสำนึกปรับปรุงตน..
ฉะนั้น หลวงปู่ใหญ่จึงขอบิณฑบาตให้ลูกหลานจงพากเพียรระวัง อย่าให้ตนเองมีกิเลส "ปรวัชชานุปัสสี" แลกิเลสตัณหาอุปาทานทุกประเภทเลย..
นะลูกหลานเอ๊ยฯ
_________
[#สาส์นพิสุทธิ์เหนือทิพย์ จาก หลวงปู่เทพโลกอุดร]
🪷🪷🪷🪷🪷🪷🪷🪷🪷