ทำไมในมังงะ มุก “อีกาบินผ่าน…” จึงใช้แทนความเงียบ ความอึดอัด หรือมุกแป้ก
แท้จริงแล้วเป็นมุกภาพที่มาจากวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่น และมีที่มาชัดเจนกว่าที่หลายคนคิด
ในมังงะหรืออนิเมะ เรามักเห็นฉากแบบนี้อยู่บ่อย ๆ
ตัวละครพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ไม่มีใครตอบ
บรรยากาศเงียบงันจนคนดูรู้สึกอายแทน
แล้วจู่ ๆ ก็มีภาพ “อีกาตัวหนึ่งบินผ่าน” พร้อมความเงียบว่างเปล่า
ภาพนี้ไม่ได้หมายความว่า “โง่” ตรง ๆ
แต่สื่อถึง ความเงียบที่เงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงปีกนก
คำถามคือ แล้วทำไมต้องเป็น “อีกา” ไม่ใช่นกชนิดอื่น
คำตอบง่ายมากสำหรับคนที่เคยไปญี่ปุ่น
เพราะญี่ปุ่นมีอีกาเยอะจริง และตัวใหญ่มากจริง ๆ
โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวหรือโอซาก้า
อีกาดำตัวโตเดินบนถนน เกาะเสาไฟ เปิดถุงขยะ
มันไม่ใช่นกเล็ก ๆ น่ารักในจินตนาการ
แต่เป็น “นกประจำเมือง” ที่คนญี่ปุ่นเห็นจนชินตา
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น อีกามีภาพลักษณ์หลายด้าน
ทั้งความว่างเปล่า ความโดดเดี่ยว ความอัปมงคล
เสียง “คาาา” ของมันก็ฟังดูแห้งแล้งและเหงา
เมื่อเกิดความเงียบแบบอึดอัด สมองคนญี่ปุ่นจึงนึกถึงภาพ
“มีแต่อีกาบินผ่าน ไม่มีใครพูดอะไร”
มุกนี้จึงกลายเป็นภาษาภาพสากลในมังงะ
ไม่ต้องอธิบาย
แค่เห็นอีกาบินผ่าน ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่า
มุกแป้ก บรรยากาศพัง หรือหน้าแตกเงียบ ๆ
เมื่อมุกนี้ถูกส่งต่อมาถึงต่างประเทศ รวมถึงไทย
ความหมายจึงถูกย่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า
= มุกฝืด
= พูดไม่เข้าท่า
= เงียบจนเจ็บ
แต่รากแท้จริงของมันคือ
ความเงียบที่ดังมากจนรู้สึกได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ ความต่างระหว่าง “ภาษาเขียน” กับ “เสียงในหัว” ของแต่ละวัฒนธรรม
ในความเป็นจริง
อีกาไทยร้อง “กา กา”
อีกาญี่ปุ่นร้อง “คา คา” (カーカー)
แต่ในมังงะ เสียงไม่ได้มีหน้าที่เลียนธรรมชาติ
มันมีหน้าที่ถ่ายทอด อารมณ์ของฉาก
เสียง “カーカー” คือเสียงของนก
แต่เสียงอย่าง “……” หรือในภาษาไทยคือ “อะโห้ย…”, “เฮ้อ…”
คือเสียงของความรู้สึกมนุษย์
เสียงถอนใจ ความเขิน ความอาย ความว่างเปล่า
ภาษาไทยเป็นภาษาที่ใช้เสียงอุทานเยอะ
เราไม่ฟังความเงียบด้วยหูอย่างเดียว
แต่ฟังด้วยหัวใจ
พอจะถ่ายทอดความเงียบอึดอัด
เราจึงเลือก “อะโห้ย…” มากกว่า “กา กา”
นี่จึงไม่ใช่การแปลเสียง
แต่เป็นการแปล ความรู้สึก
ญี่ปุ่นใช้ภาพอีกาแทนความเงียบ เพราะมันอยู่ในชีวิตจริง
ไทยรับมุกมา แล้วแทนที่ด้วยเสียงในใจของคนอ่าน
จึงกลายเป็น “อะโห้ย…”, “เฮ้อ…”, หรือแค่ “……”
ไม่ใช่เพราะอีกาไทยร้องไม่เหมือนกัน
แต่เพราะ
คนไทยฟังความเงียบด้วยหัวใจ
ขณะที่ญี่ปุ่นมองความเงียบด้วยภาพ
และนี่แหละคือเสน่ห์ของภาษาเขียน
ที่ไม่ได้เลียนเสียงของโลก
แต่เลียนเสียงของความรู้สึกคนอ่านอย่างแท้จริง
เจาะเวลาหาอดีต
❓ทำไมในมังงะ มุก “อีกาบินผ่าน…” จึงใช้แทนความเงียบ ความอึดอัด หรือมุกแป้ก
แท้จริงแล้วเป็นมุกภาพที่มาจากวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่น และมีที่มาชัดเจนกว่าที่หลายคนคิด
ในมังงะหรืออนิเมะ เรามักเห็นฉากแบบนี้อยู่บ่อย ๆ
ตัวละครพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ไม่มีใครตอบ
บรรยากาศเงียบงันจนคนดูรู้สึกอายแทน
แล้วจู่ ๆ ก็มีภาพ “อีกาตัวหนึ่งบินผ่าน” พร้อมความเงียบว่างเปล่า
ภาพนี้ไม่ได้หมายความว่า “โง่” ตรง ๆ
แต่สื่อถึง ความเงียบที่เงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงปีกนก
คำถามคือ แล้วทำไมต้องเป็น “อีกา” ไม่ใช่นกชนิดอื่น
คำตอบง่ายมากสำหรับคนที่เคยไปญี่ปุ่น
เพราะญี่ปุ่นมีอีกาเยอะจริง และตัวใหญ่มากจริง ๆ
โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวหรือโอซาก้า
อีกาดำตัวโตเดินบนถนน เกาะเสาไฟ เปิดถุงขยะ
มันไม่ใช่นกเล็ก ๆ น่ารักในจินตนาการ
แต่เป็น “นกประจำเมือง” ที่คนญี่ปุ่นเห็นจนชินตา
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น อีกามีภาพลักษณ์หลายด้าน
ทั้งความว่างเปล่า ความโดดเดี่ยว ความอัปมงคล
เสียง “คาาา” ของมันก็ฟังดูแห้งแล้งและเหงา
เมื่อเกิดความเงียบแบบอึดอัด สมองคนญี่ปุ่นจึงนึกถึงภาพ
“มีแต่อีกาบินผ่าน ไม่มีใครพูดอะไร”
มุกนี้จึงกลายเป็นภาษาภาพสากลในมังงะ
ไม่ต้องอธิบาย
แค่เห็นอีกาบินผ่าน ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่า
มุกแป้ก บรรยากาศพัง หรือหน้าแตกเงียบ ๆ
เมื่อมุกนี้ถูกส่งต่อมาถึงต่างประเทศ รวมถึงไทย
ความหมายจึงถูกย่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า
= มุกฝืด
= พูดไม่เข้าท่า
= เงียบจนเจ็บ
แต่รากแท้จริงของมันคือ
ความเงียบที่ดังมากจนรู้สึกได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ ความต่างระหว่าง “ภาษาเขียน” กับ “เสียงในหัว” ของแต่ละวัฒนธรรม
ในความเป็นจริง
อีกาไทยร้อง “กา กา”
อีกาญี่ปุ่นร้อง “คา คา” (カーカー)
แต่ในมังงะ เสียงไม่ได้มีหน้าที่เลียนธรรมชาติ
มันมีหน้าที่ถ่ายทอด อารมณ์ของฉาก
เสียง “カーカー” คือเสียงของนก
แต่เสียงอย่าง “……” หรือในภาษาไทยคือ “อะโห้ย…”, “เฮ้อ…”
คือเสียงของความรู้สึกมนุษย์
เสียงถอนใจ ความเขิน ความอาย ความว่างเปล่า
ภาษาไทยเป็นภาษาที่ใช้เสียงอุทานเยอะ
เราไม่ฟังความเงียบด้วยหูอย่างเดียว
แต่ฟังด้วยหัวใจ
พอจะถ่ายทอดความเงียบอึดอัด
เราจึงเลือก “อะโห้ย…” มากกว่า “กา กา”
นี่จึงไม่ใช่การแปลเสียง
แต่เป็นการแปล ความรู้สึก
ญี่ปุ่นใช้ภาพอีกาแทนความเงียบ เพราะมันอยู่ในชีวิตจริง
ไทยรับมุกมา แล้วแทนที่ด้วยเสียงในใจของคนอ่าน
จึงกลายเป็น “อะโห้ย…”, “เฮ้อ…”, หรือแค่ “……”
ไม่ใช่เพราะอีกาไทยร้องไม่เหมือนกัน
แต่เพราะ
คนไทยฟังความเงียบด้วยหัวใจ
ขณะที่ญี่ปุ่นมองความเงียบด้วยภาพ
และนี่แหละคือเสน่ห์ของภาษาเขียน
ที่ไม่ได้เลียนเสียงของโลก
แต่เลียนเสียงของความรู้สึกคนอ่านอย่างแท้จริง
เจาะเวลาหาอดีต