“Christmas Creep” เกมการตลาด ที่ทำให้คนยอมจ่ายแพง…โดยไม่รู้ตัว 🎁💸

เป็นธรรมดาของช่วงปลายปีที่พ่อค้าแม่ค้าหรือคนทำธุรกิจมุ่งหวังจะสร้างยอดขายจากช่วงเวลานี้ให้ได้มากที่สุด เนื่องจากตั้งแต่เดือนตุลาคม - ปลายธันวาคม ต่อเนื่องไปถึงต้นเดือนมกราคม คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีทั้งวันคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่

ถ้าดูตัวเลขจากปี 2024 ที่ผ่านมา ไตรมาสสุดท้ายของปียอดขายของธุรกิจค้าปลีกเติบโตถึง 3.8% หรือถ้าดูในมุมของสินค้าออนไลน์ก็ยิ่งชัดเจนมาก ไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว มีมูลค่าสูงขึ้น 20% ถ้าเทียบกับช่วงเวลาอื่น ทำให้เกิดคำถามว่าในช่วงเวลาที่ใครๆก็จ้องจะหาลูกค้าแบบนี้ แล้วการทำธุรกิจจะมีกลยุทธ์อะไรที่ควรนำมาใช้เพื่อให้ได้ผลมากที่สุด ถ้าไม่นับการลด แลก แจก แถม ที่เห็นกันทั่วไป กลยุทธ์การตลาดที่เรียกว่า “Christmas Creep” ก็ถือว่าน่าสนใจ



🎅 “Christmas Creep” วิธีเพิ่มยอดขายคูณ 2

Christmas Creep ไม่ได้พูดถึงเรื่องการขายสินค้าในวันคริสมาสต์ แต่เป็นกลยุทธ์ที่พูดถึงว่าใครเร็วกว่าก็ได้เปรียบ โดยเฉพาะในยุคนี้ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นธุรกิจที่เร็วเอาชนะธุรกิจที่ช้ากว่า เดิมทีคำนี้ถูกใช้ในฝั่งยุโรป เพื่ออธิบายพฤติกรรมของร้านค้าปลีกที่ต้องการขยายฤดูกาลจับจ่ายให้ยาวขึ้น เช่น ห้างในสหรัฐฯ ที่เริ่มตั้งต้นสนตั้งแต่เดือนกันยายน หรือซูเปอร์มาร์เก็ตในอังกฤษที่วางช็อกโกแลตคริสต์มาสตั้งแต่ช่วง Back to School เพราะยิ่งผู้บริโภคเห็นของเร็ว ก็ยิ่งกระตุ้นให้พวกเขาเริ่มจับจ่ายเร็วขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ดีในไทยเองก็เริ่มเห็นภาพนี้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในห้างสรรพสินค้า แบรนด์แฟชั่น หรือแม้แต่คาเฟ่ต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันเปลี่ยนธีมตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม และเริ่มมีการโปรโมทหรือวางสินค้าที่ใช้ธีมคริสต์มาส หรือวันปีใหม่ ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว “Christmas Creep” มีข้อดีหลายอย่างเช่น

1.ขยายเวลาในการสร้างรายได้มากขึ้น เพราะช่วงเวลา 3 เดือนก่อนถึงปีใหม่ เป็นช่วงที่ร้านค้าปลีกส่วนใหญ่ทำยอดขายได้ถึง 20% ถึง 30% ของยอดขายรวมทั้งปี การยิ่งเริ่มได้เร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสสร้างยอดขายสะสมได้มากกว่าคู่แข่งที่เริ่มต้นช้า

2.พฤติกรรมผู้บริโภคที่จับจ่ายเร็วขึ้น มีข้อมูลน่าสนใจระบุว่า 30-40% ของลูกค้าเริ่มจับจ่ายสินค้ามากขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน โดยเฉพาะ กลุ่ม Gen X และ Gen Z ที่ชอบวางแผนการซื้อสินค้าแต่เนิ่นๆ

3.สร้าง Conversion Rate ได้สูงขึ้น วัดผลจากแบรนด์ที่ทำการตลาดแบบ Christmas Creep จะมีการตอบสนองจากลูกค้าได้สูงกว่า 14% เมื่อเทียบกับแบรนด์ที่ไม่ได้นำกลยุทธ์นี้มาใช้

🎅 Christmas Creep สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

ซึ่งต้องยอมรับว่าผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้จะรอช็อปปิ้งเมื่อถึงเทศกาล แต่จะวางแผนไว้ล่วงหน้า เป็นผลจากปัจจัยคือ

🎄 บริหารงบประมาณ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นผู้บริโภคจึงต้อง กระจายค่าใช้จ่าย ในช่วงเทศกาล แทนที่จะจ่ายก้อนใหญ่ในเดือนใดเดือนหนึ่ง
🎄 หลีกเลี่ยงจากความแออัด ที่ต้องเจอกับลูกค้าอีกจำนวนมากในการซื้อสินค้าเมื่อเข้าใกล้ถึงเวลาเทศกาลที่แท้จริง
🎄 เรื่องของความคุ้มค่า โดยเฉพาะการหาโปรโมชันพิเศษ แบรนด์ที่เริ่มเร็วก็จะสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ที่สนใจความคุ้มค่าได้ก่อน
🎄 การตัดสินใจที่เร็วขึ้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้บริโภคยุคใหม่เห็นโฆษณา, รีวิว, และไอเดียของขวัญผ่านโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจซื้อจึงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องรอถึงเทศกาลเท่านั้น
🎄 การหาของขวัญล่วงหน้า เพราะช่วงปลายปีแบบนี้คือการส่งความสุข ส่วนใหญ่จะใช้ Google หรือแพลตฟอร์มโซเชี่ยลอื่นๆในการหาของขวัญที่น่าสนใจซึ่งการปรากฏคำค้นหาก็เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อที่เร็วขึ้น
🎄 ตอบสนองความสุขก่อนใคร ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ทำงานเครียดมาทั้งปี ช่วงเวลานี้อยากผ่อนคลายกันบ้าง การได้สินค้าที่พิเศษๆในช่วงเวลานี้จึงเป็นอีกความสุขของคนยุคใหม่

🎅 กรณีศึกษา แคมเปญ Christmas Creep ที่ประสบความสำเร็จ
ในประเทศไทย "Christmas Creep" ถูกนำมาใช้และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร

✨1.ศูนย์การค้าใช้ Christmas Creep อย่างเต็มรูปแบบ

เพื่อให้เป็นจุดสนใจของลูกค้าได้เป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นการจัดแต่งไฟสวยงาม เพื่อให้เป็นที่ถ่ายภาพหรือการจัดแคมเปญอื่นๆ ยกตัวอย่างห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัลที่มักจะเริ่มแคมเปญเทศกาลปลายปีในชื่อ "The World's Great Celebration" และเริ่มติดตั้งต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์ ที่ Central World ตั้งแต่ ต้นเดือนตุลาคม

ทำให้ปริมาณผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 25-30 ในช่วงเทศกาล เมื่อเทียบกับช่วงปกติ และยังเป็นการชิง “แลนด์มาร์คแห่งแรก” ที่ทำให้ลูกค้าเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นเป็นการชิงส่วนแบ่งการตลาดที่เร็วกว่าก็ได้เปรียบ

✨2.ร้านกาแฟและเครื่องดื่ม

กลุ่มนี้ใช้ Christmas Creep ในการกระตุ้นยอดขายสินค้าพิเศษ โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่ชอบสะสมและมองหาความแปลกใหม่ ยกตัวอย่างเช่น Starbucks มักจะเปิดตัวแก้วคริสต์มาส (Holiday Collection) และเครื่องดื่มประจำเทศกาล เช่น Peppermint Mocha, Toffee Nut Latte ตั้งแต่ช่วยปลายเดือนตุลาคม ซึ่งมีข้อมูลน่าสนใจระบุว่าในร้านกาแฟจะมียอดขายสินค้าที่ไม่ใช่กาแฟช่วงเทศกาลพุ่งสูงขึ้นกว่า 30% แถมยังช่วยสร้างภาพจำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เป็นผู้เริ่มเทศกาลแห่งชองขวัญด้วย

✨3.ธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้าน / เครื่องใช้ภายในบ้าน

กลุ่มนี้ใช้ Creep เพื่อเจาะกลุ่ม ผู้ที่ต้องการซื้อของตกแต่งล่วงหน้าเพื่อเตรียมบ้านสำหรับงานเลี้ยง และงานสังสรรค์ หรือการจัดแต่งบ้านเพื่อความสวยงาม ยกตัวอย่างคือ IKEA มักจะนำคอลเลกชันสินค้าฤดูหนาวและคริสต์มาส เข้ามาวางจำหน่ายตั้งแต่ เดือนกันยายน – ต้นเดือนตุลาคม ช่วยให้ IKEA ได้เปรียบในการ จับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อแบบวางแผน

ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการเตรียมพร้อมล่วงหน้า แม้ไม่มีตัวเลขยอดขายที่เปิดเผย แต่การเป็นผู้นำในการวางขายสินค้าตกแต่งก่อนใคร ทำให้แบรนด์สามารถ ดึงดูดลูกค้าและ ยืดระยะเวลาการสร้างรายได้ที่นานกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน

ทั้งนี้การที่แบรนด์ใดก็ตามเริ่มบุกเข้าหาลูกค้าได้ก่อนจะมีความได้เปรียบที่ไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขาย แต่จะเป็นการสร้างบรรยากาศพิเศษทำให้แบรนด์ดูมีจุดเด่นที่แตกต่างเป็นภาพลักษณ์ ภาพจำที่ทำให้คนสนใจ เป็นประโยชน์และผลพลอยได้ที่ตามมาที่อาจจะไม่ได้ทำให้สร้างยอดขายได้ดีแค่ในช่วงเทศกาลเท่านั้น
.
.
ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ รวบรวมข้อมูล
Cr : https://www.facebook.com/share/p/17jzywTmZ4/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่