ข้อมูลจากกลุ่มโรงแรมชั้นนำ บริษัทท่องเที่ยว และผู้เชี่ยวชาญด้านการคาดการณ์แนวโน้มทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า ปี 2026 จะเป็นปีแห่งการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ การวางแผนการเดินทางด้วยอัลกอริทึม การพักผ่อนแบบเฉพาะบุคคล และการกลับมาสู่การท่องเที่ยวที่ช้าลงและมีเป้าหมายมากขึ้น
.
นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพฤติกรรมศาสตร์ และบริษัทท่องเที่ยวต่างรวบรวมข้อมูลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพื่อประเมินว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใด ในปี 2025 วงการท่องเที่ยวรู้จักกับคำว่า "coolcations" (คูลเคชั่นส์) เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีอากาศเย็นสบาย เพื่อหลีกหนีจากอากาศที่ร้อนจัดหรือคลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก รวมถึงเทรนด์ flashpacking (แฟลชแพ็กกิ้ง) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกการท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คที่อินดี้ไปอีกขั้น
.
ที่ผ่านมา เทรนด์การท่องเที่ยวประจำปีมักมาพร้อมกับคำผสมที่ดูแปลก ๆ และเกือบทุกครั้งก็สะท้อนถึงวิถีชีวิตของของผู้คนในช่วงนั้น หรืออย่างน้อยก็วิถีชีวิตที่อยากจะเป็น ในปีนี้มีคำใหม่อย่าง "Hushpitality" แล้วมันแปลว่าอะไร?
.
Spotlight อยากชวนทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ประกอบการหรือนักเดินทาง มาทำความรู้จักกับ “7 เทรนด์การท่องเที่ยวในปี 2026” รับรองว่ามาแน่!
1.จ่ายเงินซื้อความสงบ
เทรนด์หนึ่งที่คาดว่าจะมาแรงในปีหน้าคือการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "Hushpitality" คือเทรนด์การท่องเที่ยวและการบริการที่เน้น "ความสงบเงียบและความเป็นส่วนตัวสูงสุด" คำนี้เป็นการผสมคำระหว่าง Hush หรือเสียงจุ๊ ๆ ของฝรั่ง กับ Hospitality ที่แปลว่าการบริการหรืออุตสาหกรรมโรงแรม
2. ปล่อยจอย ไม่ตัดสินใจ ไปเรื่อย
ไม่ว่าจะเรียกว่าความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ ความขี้เกียจ หรือความตื่นเต้นที่ได้ปล่อยให้คนอื่นเป็นคนตัดสินใจแทน ก็เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แขกไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลยนั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ในเมืองเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา โรงแรม Winemaker's House & Spa Suites ของ Susana Balboa ได้เปิดตัวตัวเลือกการเดินทางแบบลึกลับที่ออกแบบมาเพื่อลดความเครียดในการจองและสร้างความประหลาดใจที่คัดสรรมาอย่างดีสำหรับแขก ในขณะที่ในอุตสาหกรรมการล่องเรือ การล่องเรือแบบลึกลับซึ่งผู้โดยสารขึ้นเรือโดยไม่รู้กำหนดการเดินทาง กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
รายงานแนวโน้มจากบริษัทประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว Lemongrass ระบุว่า การเดินทางแบบจัดทริปเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจที่เพิ่มมากขึ้น และภาระทางความคิดที่เกิดจากการตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3. #Roadtrip ขับไปยาว ๆ ไม่ขึ้นเครื่องบิน
จากรายงานเทรนด์ปี 2026 ของฮิลตัน ระบุว่า ผู้คนจะสนุกกับการเดินทางด้วยรถยนต์ในปี 2026 โดยแฮชแท็ก #RoadTrip มียอดการแท็กมากกว่า 5.9 ล้านครั้งทั่วโลก เนื่องจากนักเดินทางได้ค้นพบเสน่ห์ของการเดินทางบนท้องถนนอีกครั้ง
เป็นไปได้ว่าคนยุคนี้มอง Roadtrip เป็นกิจกรรมสุดเริ่ด สุดคูลมากขึ้น เพราะ HunterMoss ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ กำลังพลิกโฉมการเดินทางด้วยรถยนต์แบบคลาสสิกให้กลายเป็นประสบการณ์สุดหรู โดยจับคู่การรับประทานอาหารระดับมิชลินสตาร์กับจุดแวะพักไลฟ์สไตล์ที่คัดสรรมาอย่างดี
ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกขับรถด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป นั่นคือ ค่าใช้จ่าย ซึ่งจากการวิจัยของฮิลตัน พบว่า 60% ของชาวอังกฤษกล่าวว่าพวกเขาจะขับรถไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อประหยัดเงิน
4. ทริปเฉพาะบุคคล คลั่งรักอะไร ไปหาสิ่งนั้น
หมดยุคการจัดทริปแบบแห่ไปท่องเที่ยวสถานที่ฮิต ๆ ตามกระแสแบบคนอื่นแล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ก้าวไปสู่ความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างมากในวงกว้าง ทัวร์เฉพาะทางได้เกิดขึ้นมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองช่วงชีวิตและสถานการณ์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ทริปพักใจหลังหย่าร้าง เน้นลืมความโศกเศร้า ไปจนถึงการพักผ่อนสำหรับคนโสดวัยเกษียณ เป็นต้น แม้แต่ทริปที่มีความสนใจเฉพาะกลุ่ม เช่น วันหยุดสำหรับกีฬาแร็กเก็ตและทัวร์สำหรับผู้ชื่นชอบแมลง
5. แหล่งเที่ยวใหม่ ผจญภัยและท้าทาย
นิค พัลลีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัททัวร์ Selective Asia กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวของเราจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ชอบอินสตาแกรม กำลังหันเหความสนใจจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีคนพลุกพล่าน ซึ่งมักจะไม่ตรงกับภาพลักษณ์ที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตและดูเรียบง่ายในโลกออนไลน์”
ผลที่ตามมาคือ จุดหมายปลายทางที่อยู่นอกกระแสหลักกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยมีผู้สนใจในสถานที่ต่างๆ เช่น โตเลโดในสเปน บรันเดนบูร์กในเยอรมนี และสำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายมากขึ้นก็คือ อิรัก ในสหราชอาณาจักร แนวโน้มนี้กำลังดึงดูดผู้คนให้หันเหความสนใจจากแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ เช่น คอตส์โวลด์และคอร์นวอลล์ ไปสู่พื้นที่ที่มีคนไปเที่ยวน้อยกว่า เช่น นอร์ธัมเบอร์แลนด์ เวลส์ และซอมเมอร์เซ็ต
6. เที่ยวสายเนิร์ด ปล่อยใจอ่านหนังสือ ตามรอยวรรณกรรม
ก่อนหน้านี้ใครที่หลงรักซีรีส์เกาหลี อาจจะไปตามรอยบนเกาะต่าง ๆ ที่ใช้ในการถ่ายทำ จนเคยเกิดกระแส "set-jetting" การท่องเที่ยวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรายการทีวีและภาพยนตร์ แต่ปี 2026 นี้เป็นปีของนักอ่าน สำหรับนักอ่านตัวยงบางคน อาจเคยได้ยินเทรนด์ #BookTok การท่องเที่ยวเชิงวรรณกรรมกันมาบ้าง
โรงแรมทั่วโลก แม้แต่ในจุดหมายปลายทางที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานบันเทิงยามค่ำคืน ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในเทรนด์นี้ ตั้งแต่ เกาะอิบิซาไปจนถึงมาดริด แขกของโรงแรมสามารถคาดหวังที่จะมาอ่านหนังสือหายาก พวกเขาเฟ้นหาสถานที่พักผ่อนสำหรับการอ่าน ไปจนถึงห้องสมุดติดริมสระว่ายน้ำและการเข้าพักในธีมต่าง ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรม
7. ใช้ AI แพลนทริป-ช่วยเที่ยว
เราจะได้เห็นการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างแน่นอนในปี 2026 จากการวิจัยของ Amadeus พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้ AI วางแผนและจองที่พักอย่างสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Expedia และ Booking.com ได้นำเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ChatGPT มาใช้ ทำให้การวางแผนวันหยุดของผู้คนง่ายขึ้นด้วยระบบอัจฉริยะ
CR :
https://www.facebook.com/share/16nfm6DHWN/?mibextid=wwXIfr
เทรนด์ใหม่การท่องเที่ยวปี 2026 นอนกระท่อม ตัดอินเทอร์เน็ตมือถือ
.
นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพฤติกรรมศาสตร์ และบริษัทท่องเที่ยวต่างรวบรวมข้อมูลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพื่อประเมินว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใด ในปี 2025 วงการท่องเที่ยวรู้จักกับคำว่า "coolcations" (คูลเคชั่นส์) เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีอากาศเย็นสบาย เพื่อหลีกหนีจากอากาศที่ร้อนจัดหรือคลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก รวมถึงเทรนด์ flashpacking (แฟลชแพ็กกิ้ง) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกการท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คที่อินดี้ไปอีกขั้น
.
ที่ผ่านมา เทรนด์การท่องเที่ยวประจำปีมักมาพร้อมกับคำผสมที่ดูแปลก ๆ และเกือบทุกครั้งก็สะท้อนถึงวิถีชีวิตของของผู้คนในช่วงนั้น หรืออย่างน้อยก็วิถีชีวิตที่อยากจะเป็น ในปีนี้มีคำใหม่อย่าง "Hushpitality" แล้วมันแปลว่าอะไร?
.
Spotlight อยากชวนทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ประกอบการหรือนักเดินทาง มาทำความรู้จักกับ “7 เทรนด์การท่องเที่ยวในปี 2026” รับรองว่ามาแน่!
1.จ่ายเงินซื้อความสงบ
เทรนด์หนึ่งที่คาดว่าจะมาแรงในปีหน้าคือการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "Hushpitality" คือเทรนด์การท่องเที่ยวและการบริการที่เน้น "ความสงบเงียบและความเป็นส่วนตัวสูงสุด" คำนี้เป็นการผสมคำระหว่าง Hush หรือเสียงจุ๊ ๆ ของฝรั่ง กับ Hospitality ที่แปลว่าการบริการหรืออุตสาหกรรมโรงแรม
2. ปล่อยจอย ไม่ตัดสินใจ ไปเรื่อย
ไม่ว่าจะเรียกว่าความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ ความขี้เกียจ หรือความตื่นเต้นที่ได้ปล่อยให้คนอื่นเป็นคนตัดสินใจแทน ก็เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แขกไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลยนั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ในเมืองเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา โรงแรม Winemaker's House & Spa Suites ของ Susana Balboa ได้เปิดตัวตัวเลือกการเดินทางแบบลึกลับที่ออกแบบมาเพื่อลดความเครียดในการจองและสร้างความประหลาดใจที่คัดสรรมาอย่างดีสำหรับแขก ในขณะที่ในอุตสาหกรรมการล่องเรือ การล่องเรือแบบลึกลับซึ่งผู้โดยสารขึ้นเรือโดยไม่รู้กำหนดการเดินทาง กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
รายงานแนวโน้มจากบริษัทประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว Lemongrass ระบุว่า การเดินทางแบบจัดทริปเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจที่เพิ่มมากขึ้น และภาระทางความคิดที่เกิดจากการตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3. #Roadtrip ขับไปยาว ๆ ไม่ขึ้นเครื่องบิน
จากรายงานเทรนด์ปี 2026 ของฮิลตัน ระบุว่า ผู้คนจะสนุกกับการเดินทางด้วยรถยนต์ในปี 2026 โดยแฮชแท็ก #RoadTrip มียอดการแท็กมากกว่า 5.9 ล้านครั้งทั่วโลก เนื่องจากนักเดินทางได้ค้นพบเสน่ห์ของการเดินทางบนท้องถนนอีกครั้ง
เป็นไปได้ว่าคนยุคนี้มอง Roadtrip เป็นกิจกรรมสุดเริ่ด สุดคูลมากขึ้น เพราะ HunterMoss ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ กำลังพลิกโฉมการเดินทางด้วยรถยนต์แบบคลาสสิกให้กลายเป็นประสบการณ์สุดหรู โดยจับคู่การรับประทานอาหารระดับมิชลินสตาร์กับจุดแวะพักไลฟ์สไตล์ที่คัดสรรมาอย่างดี
ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกขับรถด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป นั่นคือ ค่าใช้จ่าย ซึ่งจากการวิจัยของฮิลตัน พบว่า 60% ของชาวอังกฤษกล่าวว่าพวกเขาจะขับรถไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อประหยัดเงิน
4. ทริปเฉพาะบุคคล คลั่งรักอะไร ไปหาสิ่งนั้น
หมดยุคการจัดทริปแบบแห่ไปท่องเที่ยวสถานที่ฮิต ๆ ตามกระแสแบบคนอื่นแล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ก้าวไปสู่ความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างมากในวงกว้าง ทัวร์เฉพาะทางได้เกิดขึ้นมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองช่วงชีวิตและสถานการณ์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ทริปพักใจหลังหย่าร้าง เน้นลืมความโศกเศร้า ไปจนถึงการพักผ่อนสำหรับคนโสดวัยเกษียณ เป็นต้น แม้แต่ทริปที่มีความสนใจเฉพาะกลุ่ม เช่น วันหยุดสำหรับกีฬาแร็กเก็ตและทัวร์สำหรับผู้ชื่นชอบแมลง
5. แหล่งเที่ยวใหม่ ผจญภัยและท้าทาย
นิค พัลลีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัททัวร์ Selective Asia กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวของเราจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ชอบอินสตาแกรม กำลังหันเหความสนใจจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีคนพลุกพล่าน ซึ่งมักจะไม่ตรงกับภาพลักษณ์ที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตและดูเรียบง่ายในโลกออนไลน์”
ผลที่ตามมาคือ จุดหมายปลายทางที่อยู่นอกกระแสหลักกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยมีผู้สนใจในสถานที่ต่างๆ เช่น โตเลโดในสเปน บรันเดนบูร์กในเยอรมนี และสำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายมากขึ้นก็คือ อิรัก ในสหราชอาณาจักร แนวโน้มนี้กำลังดึงดูดผู้คนให้หันเหความสนใจจากแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ เช่น คอตส์โวลด์และคอร์นวอลล์ ไปสู่พื้นที่ที่มีคนไปเที่ยวน้อยกว่า เช่น นอร์ธัมเบอร์แลนด์ เวลส์ และซอมเมอร์เซ็ต
6. เที่ยวสายเนิร์ด ปล่อยใจอ่านหนังสือ ตามรอยวรรณกรรม
ก่อนหน้านี้ใครที่หลงรักซีรีส์เกาหลี อาจจะไปตามรอยบนเกาะต่าง ๆ ที่ใช้ในการถ่ายทำ จนเคยเกิดกระแส "set-jetting" การท่องเที่ยวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรายการทีวีและภาพยนตร์ แต่ปี 2026 นี้เป็นปีของนักอ่าน สำหรับนักอ่านตัวยงบางคน อาจเคยได้ยินเทรนด์ #BookTok การท่องเที่ยวเชิงวรรณกรรมกันมาบ้าง
โรงแรมทั่วโลก แม้แต่ในจุดหมายปลายทางที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานบันเทิงยามค่ำคืน ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในเทรนด์นี้ ตั้งแต่ เกาะอิบิซาไปจนถึงมาดริด แขกของโรงแรมสามารถคาดหวังที่จะมาอ่านหนังสือหายาก พวกเขาเฟ้นหาสถานที่พักผ่อนสำหรับการอ่าน ไปจนถึงห้องสมุดติดริมสระว่ายน้ำและการเข้าพักในธีมต่าง ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรม
7. ใช้ AI แพลนทริป-ช่วยเที่ยว
เราจะได้เห็นการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างแน่นอนในปี 2026 จากการวิจัยของ Amadeus พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้ AI วางแผนและจองที่พักอย่างสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Expedia และ Booking.com ได้นำเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ChatGPT มาใช้ ทำให้การวางแผนวันหยุดของผู้คนง่ายขึ้นด้วยระบบอัจฉริยะ
CR : https://www.facebook.com/share/16nfm6DHWN/?mibextid=wwXIfr