การปฏิรูปที่ยั่งยืนที่สุด ต้องเริ่มจากจิตใจ

มุมมองการปฏิรูปจะถูกเข้าใจในเชิงโครงสร้างภายนอก เช่น การปฏิรูปกฏหมาย สถาบัน หรือระบบการบริหารจัดการของสังคม แต่หากพิจารณาภายใต้กรอบแนวคิดพระพุทธศาสนา พบว่า พระพุทธเจ้าทรงวางรากฐานการปฏิรูปไว้ที่จิตใจเป็นประการสำคัญ เนื่องมาจากการที่มีพระพุทธพจน์ สรุปว่า "ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าคนมีใจดี ก็จะพูดดีหรือทำดี ถ้าคนมีใจชั่ว ก็จะพูดชั่วหรือทำชั่วตามไปด้วย" [๑] พระพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่าการกระทำและคำพูด หรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายในสังคม เป็นผลอันเนื่องมาจากสภาพทางจิตใจของมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อจิตใจยังเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ[๒] การปฏิรูปสิ่งภายนอกจึงเป็นเพียงแค่การปรับเปลี่ยนรูปแบบของปัญหา แต่ต้นเหตุของปัญหายังคงมีอยู่นั้นเอง
   การปฏิรูปที่แท้จริงจึงจำเป็นจะต้องปฏิรูปที่จิตใจโดยยึดเอาที่เจตนาเป็นสำคัญ ดังพระพุทธพจน์ ความว่า "เรากล่าวเจตนาว่าเป็นตัวกรรม บุคคลคิดแล้ว จึงกระทำกรรมด้วยกาย วาจา ใจ"[๓] เพราะพฤติกรรมต่าง ๆ ล้วนมีแรงผลักดันมาจากเจตนาทั้ง ยามที่เกิดความโมโห ประทุษร้ายด้วยกำลังก็เพราะมีเจตนาเป็นต้นเหตุ การลักขโมยเพราะเจตนาอยากได้เป็นแรงผลักดัน เป็นต้น การปฏิรูปที่เจตนาจึงเป็นผลที่สอดคล้องต่อเจตนารมณ์แห่งการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ผลที่เกิดขึ้นตามมาจึงมีความมั่นคงและไม่กลับมาสร้างปัญหาใหม่อีกต่อไป
   จากการที่ผมได้ศึกษาเนื้อหาและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก พบว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเริ่มแก้ไขปัญหาสังคมด้วยการเพ่งโทษระบบทางการเมืองหรือโครงสร้างทางชนชั้นหรือวรรณะ ๔ แต่ทรงเริ่มต้นการปฏิรูปวรรณะด้วยการให้กุลบุตรหรือกุลธิดาต่าง ๆ ไม่ว่าจะมาจากชนชั้นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็สามารถเข้ามาบวชได้และย่อมมีความเสมอภาคกันหมดในระบบสังฆะแห่งพระธรรมวินัยนี้ ดังที่ในคราวก่อนตรัสรู้ทรงพระสุบินว่า นก ๔ เหล่ามีสีต่าง ๆ กัน บินมายังพระพุทธองค์แล้วกลับกลายเป็นสีขาวทุกตัว[๔] และพระพุทธองค์ก็ทรงเผยแผ่คำสอนเรื่องกรรมเป็นสิ่งกำหนดบุคคล ไม่ใช่เพราะจากการที่เกิดมามีฐานะร่ำรวย ยศศักสูง ความว่า "บุคคลเป็นชาวนา ช่างศิลปะ พ่อค้า ผู้รับใช้ โจร ทหารอาชีพ เป็นปุโรหิต พระราชาก็เพราะกรรมทั้งนั้น" [๕] ไมได้ประเสริฐก็เพราะพระพรหมดังที่พวกพราหมณ์เข้าใจกัน ความว่า "วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือ พราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม"[๖] การที่พระพุทธองค์ทรงปฏิรูปด้วยวิธีค่อย ๆ สอน เป็นการปรับทัศนะ ความรู้และความเข้าใจ ได้แก่ ทิฏฐิ แล้วพฤติกรรมอันมาจากเจตนาก็จะปรับเปลี่ยนไปเอง เหตุการณ์ที่ยืนยันเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เป็นเหตุการณ์ที่ตรัสอาสภิวาจาหรือวาจาอย่างองอาจ[๗] ความว่า "เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นใหญ่ในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก นี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก"[๘] อาสภิวาจานี้เป็นการแสดงให้ทราบว่า (๑) มนุษย์มีศักยภาพมาดพอที่จะทำสิ่งที่ยากยิ่งคือ พระนิพพาน และเป็นไปได้ยาก ให้เป็นไปได้ (๒) ยืนยันว่า มนุษย์เป็นผู้กำหนดความประเสริฐและชะตากรรมของตนเอง ไม่ใช่พระพรหมหรือเทวดามาลิขิต การที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชแล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยิ่งตอบย้ำว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะกำหนดและเป็นผู้ประเสริฐได้ด้วยการกระทำของตนเอง
   อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พระองคุลิมาลที่อดีตเคยเป็นโจรฆ่าคนมากมาย ซึ่งผู้คนต่างหวาดกลัว แต่พระพุทธองค์ทรงให้โอกาสแก่โจรองคุลีมาลด้วยการแสดงธรรมเทศนา ต่อมาโจรองคุลีมาลก็สำนึกผิดและออกบวช แสดงให้ทราบงว่า เมื่อจิตใจเปลี่ยน ความประพฤติทางกายและทางวาจา อันดุร้าย โหดร้าย และบทบาททางสังคมที่เคยเป็นโจรร้ายเหล่านี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปด้วยกลายเป็นพระอรหันต์ที่สะอาดทั้งกาย วาจาและใจ อุปมาเหมือนกับต้นไม้ที่ต้องบำรุงราก ไม่ใช่เพียงตกแต่งกิ่งใบ หากรากเน่า ต้นไม้ย่อมไม่อาจยั่งยืนได้ เช่นเดียวกับสังคมที่ละเลยการอบรมจิตใจมนุษย์ แล้วหวังให้กฎระเบียบภายนอกค้ำจุนศีลธรรมอันดีงาม ย่อมเป็นความหวังที่ไม่อาจยั่งยืนได้
   สำหรับผมมองว่า ความยั่งยืนไม่ได้หมายถึงการคงอยู่ถาวรของรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่หากหมายถึงการดับต้นเหตุแห่งความเสื่อม เมื่อจิตใจมนุษย์ได้รับการฝึกให้มีหิริและโอตตัปปะ พร้อมทั้งความเห็น ความรู้และเข้าใจที่ส่งผลให้เจตนาเป็นแรงผลักดันต่อพฤติกรรมทางกายและวาจาจนนำไปสู่หลักการแห่งสัมมาหรือความถูกต้องทั้ง ๓ ระดับ ได้แก่ กาย วาจาและใจ ด้วยข้อปฏิบัติที่ทรงวางไว้ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นหลักแห่งการปฏิบัติต่อการปฏิรูปมนุษย์ที่จิตใจ ซึ่งจะช่วยส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อหมู่คณะ ระบบ สถาบัน ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ดังนั้น ผมจึงขอสรุปอย่างสั้น ๆ ว่า
                                                      
                           "การปฏิรูปสังคมที่แท้จริงคือ ผลพลอยได้จากการปฏิรูปจิตใจของมนุษย์อย่างถูกทางด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘"

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
[๑] มจร. ๑. ยมกวรรค : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
[๒] มจร. ๙. อกุสลมูลสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐
[๓] พระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๕๗๗ ฉบับมหาจุฬาฯ
[๔] มจร. ๖. มหาสุปินสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒
[๕] มจร. ๘. วาเสฏฐสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓
[๖] มจร. ๔. อัคคัญญสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑
[๗] อรรถกถา อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๒ ๑. เวรัญชสูตร หน้าต่างที่ ๑ ใน ๑
[๘] มจร. ๗. ลักขณกถา ว่าด้วยลักษณะ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่