#STORIES : เก่งแค่ไหนก็ต้องแพ้ : วัฒนธรรม "แบ่งเหรียญ" ในกีฬามวยไทย โครงสร้างบิดเบี้ยว ที่อาจทำให้ไม่ถึงโอลิมปิกเสียที
เมื่อมหกรรมกีฬาต่างๆ เวียนมาบรรจบ แฟนหมัดมวยชาวไทยมักจะต้องเผชิญกับสภาวะ "เดจาวู" (Dejavu) หรือภาพจำเหตุการณ์ซ้ำๆ
นักชกไทยขึ้นเวที ออกอาวุธคมกริบ ไล่เตะคู่แข่งจนเสียทรง แต่เมื่อครบยก กรรมการกลับชูมือให้เจ้าภาพหรือชาติอื่นชนะหน้าตาเฉย
แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการโกง คือความจริงที่ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของความผิดพลาด แต่มันคือ "นโยบาย" ที่เรียกว่า "การแบ่งเหรียญ" (Medal Sharing)
📌 ตลกร้ายของกีฬามหาอำนาจ
ในโลกของกีฬาสากล "ผู้ชนะ" คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในโลกของ "มวยไทยในซีเกมส์" ผู้ชนะบางส่วน กลับกลายเป็นผู้ที่ "ถูกจัดสรร" มาแล้ว
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความไร้ฝีมือของนักกีฬาไทย แต่เพราะความคิดที่ว่า หากนักมวยไทย เก่งจนชาติอื่นสู้ไม่ได้ และถ้าคว้าเหรียญทองเป็นกอบเป็นกำ ผลกระทบที่จะตามมาคือ
1.ชาติอื่นจะถอดใจ เลิกส่งแข่ง เลิกพัฒนานักกีฬา
2.เจ้าภาพครั้งหน้า อาจจะตัดกีฬานี้ออกจากการแข่งขันครั้งหน้า เพราะจัดไปก็ไม่ได้เหรียญ
3. ความฝันที่จะดันมวยไทยไป "โอลิมปิก" จะจบลง เพราะขาดความเป็นสากล (Universality)
เหตุผลเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มวยไทยต้อง "แพ้บ้าง" หรือ "จำกัดโควตาเหรียญ" เพื่อการทูตกีฬา
📌 รอยร้าวในใจคนมวย
ดราม่าที่ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้น ซีเกมส์ 2017 ที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นครั้งที่ "ความลับ" ถูกเปิดเผย
เมื่อหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยต้องหลั่งน้ำตา ยอมรับว่ามี "ใบสั่ง" ให้แบ่งเหรียญ เพื่อแลกกับการที่เจ้าภาพยอมบรรจุกีฬานี้
และเหตุการณ์นี้ วนกลับมาอีกครั้งในซีเกมส์ 2025 ที่เป็นประเด็นการแพ้ที่ค้านสายตาอยู่ในขณะนี้ จนนักกีฬารู้สึกเสียใจและออกมาพูด
นี่คือสิ่งที่มันคือการทำลายหัวใจของคนเป็นนักกีฬาและโค้ช ที่ซ้อมมาแทบตายเพื่อความเป็นเลิศ แต่กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับเกมการเมือง
ตราบใดที่ซีเกมส์ยังเป็นมหกรรมกีฬาที่เน้น "เจ้าเหรียญทอง" เพื่อหน้าตาของเจ้าภาพ มากกว่ามาตรฐานการกีฬา เรื่องนี้ก็ไม่มีทางจบสิ้น
"มวยไทย" กลายเป็นเพียงเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์ มากกว่าจะเป็นเวทีพิสูจน์ฝีมือ
📌ิ ยอมแลกศักดิ์ศรี เพื่ออนาคต
ในขณะที่เราพยายามผลักดันมวยไทยไปสู่ระดับโลก (Soft Power) เรากลับต้องลดมาตรฐานตัวเองลงในระดับภูมิภาคเพื่อให้คนอื่นพอใจ
มันเป็นความย้อนแย้งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตราบใดที่เป้าหมายสูงสุดคือ "โอลิมปิก" และตราบใดที่ซีเกมส์ยังเป็นเวทีแห่ง "มิตรภาพ(แบบจัดตั้ง)"
ดราม่าการแบ่งเหรียญก็จะยังคงวนเวียนอยู่คู่กับวงการมวยไทยต่อไป
เทียบโมเดล การผลักดันกีฬาเทควันโด สู่โอลิมปิก ของเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ไม่จำเป็นต้องแบ่งเหรียญให้ใคร หากเขาเก่งจริง
แต่ปัจจุบัน สหพันธ์เทควันโดโลก ก็ทำทุกวิถีทาง เช่น การยกระดับกติกา เพื่อความเป็นธรรม ส่งโค้ชไปยุคทุกทวีปทั่วโลก
จนปัจจุบัน เทควันโดไม่ได้ผูกขาดเหรียญอยู่ที่เกาหลีใต้ เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป และเป็นการไม่ผูกขาด ที่ไม่ต้องเจรจาแบ่งเหรียญเลย
หากเรายังอยากเห็นมวยไทยก้าวสู่โอลิมปิก แต่ปัญหาระดับภูมิภาค ยังต้องมานั่งแบ่งเหรียญกัน
เราก็ไม่รู้ว่า ความฝันของกีฬามวยไทยในโอลิมปิก ต้องรออีกนานแค่ไหน กว่าจะมาถึง
#AISPLAY #มวยไทย
#STORIES : เก่งแค่ไหนก็ต้องแพ้ : วัฒนธรรม "แบ่งเหรียญ" ในกีฬามวยไทย โครงสร้างบิดเบี้ยว ที่อาจทำให้ไม่ถึงโอลิมปิก
#STORIES : เก่งแค่ไหนก็ต้องแพ้ : วัฒนธรรม "แบ่งเหรียญ" ในกีฬามวยไทย โครงสร้างบิดเบี้ยว ที่อาจทำให้ไม่ถึงโอลิมปิกเสียที
เมื่อมหกรรมกีฬาต่างๆ เวียนมาบรรจบ แฟนหมัดมวยชาวไทยมักจะต้องเผชิญกับสภาวะ "เดจาวู" (Dejavu) หรือภาพจำเหตุการณ์ซ้ำๆ
นักชกไทยขึ้นเวที ออกอาวุธคมกริบ ไล่เตะคู่แข่งจนเสียทรง แต่เมื่อครบยก กรรมการกลับชูมือให้เจ้าภาพหรือชาติอื่นชนะหน้าตาเฉย
แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการโกง คือความจริงที่ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของความผิดพลาด แต่มันคือ "นโยบาย" ที่เรียกว่า "การแบ่งเหรียญ" (Medal Sharing)
📌 ตลกร้ายของกีฬามหาอำนาจ
ในโลกของกีฬาสากล "ผู้ชนะ" คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในโลกของ "มวยไทยในซีเกมส์" ผู้ชนะบางส่วน กลับกลายเป็นผู้ที่ "ถูกจัดสรร" มาแล้ว
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความไร้ฝีมือของนักกีฬาไทย แต่เพราะความคิดที่ว่า หากนักมวยไทย เก่งจนชาติอื่นสู้ไม่ได้ และถ้าคว้าเหรียญทองเป็นกอบเป็นกำ ผลกระทบที่จะตามมาคือ
1.ชาติอื่นจะถอดใจ เลิกส่งแข่ง เลิกพัฒนานักกีฬา
2.เจ้าภาพครั้งหน้า อาจจะตัดกีฬานี้ออกจากการแข่งขันครั้งหน้า เพราะจัดไปก็ไม่ได้เหรียญ
3. ความฝันที่จะดันมวยไทยไป "โอลิมปิก" จะจบลง เพราะขาดความเป็นสากล (Universality)
เหตุผลเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มวยไทยต้อง "แพ้บ้าง" หรือ "จำกัดโควตาเหรียญ" เพื่อการทูตกีฬา
📌 รอยร้าวในใจคนมวย
ดราม่าที่ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้น ซีเกมส์ 2017 ที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นครั้งที่ "ความลับ" ถูกเปิดเผย
เมื่อหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยต้องหลั่งน้ำตา ยอมรับว่ามี "ใบสั่ง" ให้แบ่งเหรียญ เพื่อแลกกับการที่เจ้าภาพยอมบรรจุกีฬานี้
และเหตุการณ์นี้ วนกลับมาอีกครั้งในซีเกมส์ 2025 ที่เป็นประเด็นการแพ้ที่ค้านสายตาอยู่ในขณะนี้ จนนักกีฬารู้สึกเสียใจและออกมาพูด
นี่คือสิ่งที่มันคือการทำลายหัวใจของคนเป็นนักกีฬาและโค้ช ที่ซ้อมมาแทบตายเพื่อความเป็นเลิศ แต่กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับเกมการเมือง
ตราบใดที่ซีเกมส์ยังเป็นมหกรรมกีฬาที่เน้น "เจ้าเหรียญทอง" เพื่อหน้าตาของเจ้าภาพ มากกว่ามาตรฐานการกีฬา เรื่องนี้ก็ไม่มีทางจบสิ้น
"มวยไทย" กลายเป็นเพียงเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์ มากกว่าจะเป็นเวทีพิสูจน์ฝีมือ
📌ิ ยอมแลกศักดิ์ศรี เพื่ออนาคต
ในขณะที่เราพยายามผลักดันมวยไทยไปสู่ระดับโลก (Soft Power) เรากลับต้องลดมาตรฐานตัวเองลงในระดับภูมิภาคเพื่อให้คนอื่นพอใจ
มันเป็นความย้อนแย้งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตราบใดที่เป้าหมายสูงสุดคือ "โอลิมปิก" และตราบใดที่ซีเกมส์ยังเป็นเวทีแห่ง "มิตรภาพ(แบบจัดตั้ง)"
ดราม่าการแบ่งเหรียญก็จะยังคงวนเวียนอยู่คู่กับวงการมวยไทยต่อไป
เทียบโมเดล การผลักดันกีฬาเทควันโด สู่โอลิมปิก ของเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ไม่จำเป็นต้องแบ่งเหรียญให้ใคร หากเขาเก่งจริง
แต่ปัจจุบัน สหพันธ์เทควันโดโลก ก็ทำทุกวิถีทาง เช่น การยกระดับกติกา เพื่อความเป็นธรรม ส่งโค้ชไปยุคทุกทวีปทั่วโลก
จนปัจจุบัน เทควันโดไม่ได้ผูกขาดเหรียญอยู่ที่เกาหลีใต้ เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป และเป็นการไม่ผูกขาด ที่ไม่ต้องเจรจาแบ่งเหรียญเลย
หากเรายังอยากเห็นมวยไทยก้าวสู่โอลิมปิก แต่ปัญหาระดับภูมิภาค ยังต้องมานั่งแบ่งเหรียญกัน
เราก็ไม่รู้ว่า ความฝันของกีฬามวยไทยในโอลิมปิก ต้องรออีกนานแค่ไหน กว่าจะมาถึง
#AISPLAY #มวยไทย