💸💸💸💸
แต่คำตอบที่ตรงที่สุดคือ ผลตอบแทนมันไม่ได้มาจาก “ชื่อสินทรัพย์” อย่างเดียว มันมาจาก 3 อย่างพร้อมกัน
อย่างที่ 1 ระยะเวลา (time horizon)
อย่างที่ 2 ความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ (risk / drawdown / volatility)
อย่างที่ 3 ความสามารถ + วินัย (skill + behavior)
7% ต่อปี มันเลยไม่ใช่ “เลขวิเศษ” แต่มันคือ “ราคาที่เราต้องจ่าย” ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ
คือถ้าจะให้พูดตรงๆ ความสามารถ + ความรู้ คุณมีมากเท่าไหนผลตอบแทนมากตามได้เสมอนั่นแหละ
ต่อไปนี้คือ “ลิสต์เส้นทาง” ที่ “มีโอกาส” ทำได้เกิน 7% ต่อปี ทั้งสาย Passive และ Active (พร้อมอธิบายว่ามันได้จากอะไร และต้องแลกกับอะไร)
1) VOO (S&P 500) ทำไมคนถึงเชื่อว่า “เฉลี่ยระยะยาว” เกิน 7% ได้
ภาพใหญ่ของหุ้นตลาดรวม (broad equity) คือ “ผลตอบแทน = กำไรของธุรกิจ + การเติบโต + เงินคืนผู้ถือหุ้น”
ในภาษาคนลงทุน: บริษัทอเมริกาทั้งระบบมัน “หาเงินเก่งขึ้นเรื่อย ๆ” แล้วมันคืนเงินด้วยปันผล/ซื้อหุ้นคืน และถ้าเราถือยาวพอ ผลลัพธ์มันมักออกมาเป็นเลขสองหลักแบบ nominal ในหลายช่วงเวลา
ตัวเลขอ้างอิงที่คนใช้กันบ่อยคือ S&P 500 ระยะยาวอยู่แถว ๆ ประมาณ 10% ต่อปีแบบ nominal average (รวมปันผล) และถ้าหักเงินเฟ้อ เหลือราว 6–7% ต่อปี (real return) 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized Total Return, ณ 30 พ.ย. 2025)
VOO ช่วง 10 ปี = 13.28% ต่อปี
VOO ช่วง 5 ปี = 14.74% ต่อปี
VOO ช่วง 1 ปี = 14.78% ต่อปี
ประโยคสำคัญที่ต้องพูดให้ถูกคือ “10% average” ไม่ได้แปลว่า “คุณจะได้ 10% ทุกปี” และไม่ใช่การการันตีอนาคต
มันแปลว่า ถ้าคุณยอมรับปีที่ -20% / -30% ได้ แล้วถือยาวจริง โอกาสเฉลี่ยระยะยาวให้เกิน 7% “มีความเป็นไปได้” ตามประวัติศาสตร์ 
.
.
2) VT (หุ้นโลกทั้งใบ) ได้เกิน 7% ได้ไหม
VT คือ “กระจายทั้งโลก” แบบไม่ต้องเดาว่าใครชนะระหว่าง US vs ex-US
ข้อดีคือ ลดความเสี่ยงประเทศเดียว (single-country risk)
ข้อแลกคือ คุณจะได้ผลตอบแทนแบบ “โลก” ไม่ได้ concentrated แบบ Nasdaq
ข้อมูลจากเอกสารของ Vanguard เอง ณ 30 ก.ย. 2025: ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีช่วง 10 ปีของ VT อยู่ราว 11.9% (ช่วงนั้นตลาดโลกเป็นขาขึ้นแรงด้วย) 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
VT ช่วง 10 ปี = 8.77% ต่อปี
VT ช่วง 5 ปี = 10.87% ต่อปี
VT ช่วง 1 ปี = 10.90% ต่อปี
ดังนั้น “เกิน 7%” เป็นไปได้ แต่ต้องจำไว้ว่า “ตัวเลข 10 ปี” มันแกว่งได้ตามวัฏจักร
.
.
3) SCHG (Large-Cap Growth) และโลกของ “Growth Premium”
SCHG คือฝั่ง “โต” เน้นบริษัทใหญ่สาย growth
เส้นทางนี้ทำให้เกิน 7% ได้ง่ายในยุคที่ growth ถูกให้ multiple แพง หรือกำไรโตเร็วจริง
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
SCHG ช่วง 10 ปี = 16.58% ต่อปี
SCHG ช่วง 5 ปี = 18.00% ต่อปี
SCHG ช่วง 1 ปี = 16.41% ต่อปี
แต่จุดที่มือใหม่พลาดคือ คิดว่า “โต = ปลอดภัย”
จริง ๆ growth แพ้ได้หนักตอนดอกเบี้ยขึ้น หรือเวลาความคาดหวังในราคามันล้ำหน้าความจริงไปไกล
Schwab มีสรุปผลตอบแทนแบบ annualized returns บนหน้ากองโดยตรง (รวมช่วง since inception) 
.
.
4) QQQ (Nasdaq 100) ทำไมผลตอบแทนมันดู “โหด” แต่ก็มีปีที่ทำให้คนหลุดศรัทธา
QQQ คือ “หุ้นคุณภาพสูงสาย tech/innovation” แต่กระจุกมากกว่า S&P 500
สิ่งที่ต้องพูดคู่กันเสมอคือ
มันเคยมีช่วง “dot-com” ที่ลงหนักหลายปีติด (ไม่ใช่แค่ลงปีเดียวแล้วเด้ง) ซึ่งเป็นบททดสอบทางใจระดับโหด 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
QQQ ช่วง 10 ปี = 18.27% ต่อปี
QQQ ช่วง 5 ปี = 19.94% ต่อปี
QQQ ช่วง 1 ปี = 18.22% ต่อปี 
นี่แหละเหตุผลที่ผมชอบพูดว่า “ถ้าอยากได้ return แบบ QQQ คุณต้องยอมรับตัวเองเวอร์ชันที่ทนตลาดแดงได้ด้วย” ไม่งั้นผลตอบแทนมันอยู่ในกราฟ แต่ไม่เคยอยู่ในพอร์ตเรา
Invesco มีหน้า performance ของ QQQ อัปเดตต่อเนื่อง (ดู cumulative/period returns ได้) 
คือเอาจริงๆเชื่อว่าเทคโนโลยียังขับเคลื่อนโลก “เกิน 7% ได้” แต่แลกกับ “ความผันผวน + ความเสี่ยงด้าน valuation/regime” ที่สูงกว่า VOO แค่นั่น คุณรับได้ไหมอ่ะ??
.
.
5) SPMO (Momentum) ทำไมมันมีโอกาสชนะตลาด แต่ก็มี “Momentum crash”
Momentum (โมเมนตัม) คือแนวคิดง่าย ๆ: หุ้นที่ “ขึ้นแรงต่อเนื่อง” มักมีแรงส่งต่อไปช่วงหนึ่ง
มันเป็น factor ที่มีงานวิจัยรองรับมานาน (แนว UMD: up-minus-down) 
SPMO คือการเอาไอเดียนี้มาทำเป็นกอง โดยคัดหุ้นใน S&P 500 ที่มี “momentum score” สูง และมีการปรับพอร์ตเป็นรอบ ๆ 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
SPMO ช่วง 10 ปี = 14.83% ต่อปี
SPMO ช่วง 5 ปี = 17.31% ต่อปี
SPMO ช่วง 1 ปี = 20.78% ต่อปี
ข้อดี: โอกาส outperform ในบาง regime
ข้อแลก: มีช่วงที่ “เม่าโดนดูดกลับ” (momentum crash) เวลา market regime เปลี่ยนเร็ว ๆ
.
.
6) JEPQ (สาย Income) “ได้ยีลด์สูง” จริง แต่ต้องยอมรับว่ามัน “ล็อกเพดาน upside”
JEPQ คือแนว covered call (คัฟเวอร์ด คอล) / option overlay: ถือหุ้นแนว Nasdaq-ish แล้วขายออปชันเพื่อเก็บ premium เป็นรายได้ 
ใน fact sheet ของ JPM ณ 30 พ.ย. 2025:
30-day SEC yield (เอสอีซี ยีลด์) ราว 11.52% และ 12-month rolling dividend yield ราว 10.93% 
แต่แกนคิดที่ต้องพูดให้ครบคือ “รายได้สูง = คุณขายโอกาสกำไรบางส่วนทิ้ง”
ตลาด sideway/ผันผวน = มักดูดี
ตลาดกระชากขึ้นแรง = มัก underperform เพราะโดน cap upside 
.
.
7) BTC “เกิน 7%” ได้ไหม? ได้…แต่ต้องยอมรับว่าเกมนี้มันวัดใจมาก
บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ historical return สูงมากในหลายช่วงเวลา แต่ volatility โหด และ drawdown หนักเป็นเรื่องปกติ
ตัวอย่างเชิงข้อมูล ช่วง 10 ปี บิทคอยน์เคยมี average annualised return สูงมาก (ขึ้นกับช่วงที่เลือก) 
แต่ประเด็นสำคัญกว่าคือ “คุณอยู่รอดระหว่างทางได้ไหม” เพราะมันไม่ใช่กราฟที่เดินสวย ๆ
ถ้าจะใส่ BTC ให้เป็น “asset allocation ที่ไม่พังชีวิต” ต้องคุยเรื่อง position sizing และ rebalancing มากกว่าคุยแต่ผลตอบแทน 2-5% คือาัดส่วนที่ผมถือ เพราะใจสั่น🤣
.
.
8. Cash & Carry Arbitrage (แคช-แอนด์-แคร์รี) Long Spot + Short Futures ได้ 10% ต่อปี “ได้จากอะไร”
โครงสร้างมันคือ “กินส่วนต่าง” (basis/เบสิส) ระหว่างราคา futures กับ spot
ถ้า futures แพงกว่า spot (contango/คอนแทนโก) คุณซื้อ spot แล้ว short futures ล็อกส่วนต่างไว้ และรอให้มัน converge ตอนใกล้หมดอายุ 
แต่…นี่ไม่ใช่ “ดอกเบี้ยไร้ความเสี่ยง”
BIS เคยชี้ชัดว่า cash-and-carry มี funding risk และ margin risk ถ้า basis วิ่งสวนก่อนถึงวันหมดอายุ อาจโดน margin call จนถูกบังคับปิดสถานะก่อนที่ราคาจะ converge 
“ต้องไปเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ” และต้องเข้าใจ operational risk, exchange/custody, leverage, และการจัด margin แบบมืออาชีพ นึกไม่ออกไปเรียนที่ไหน เพจ ติดเล่าเรื่องลงทุน อาจารย์เอ็มสุดที่เลิฟผมเอง
.
.
9) SCB / TISCO (ธนาคารไทย) ทำไม “ผลตอบแทนเกิน 7%” มันมักมาในรูป “ปันผล”
ธนาคารไทยบางช่วงให้ dividend yield สูงมาก ซึ่งทำให้ “ผลตอบแทนรวม” มีโอกาสเกิน 7% ได้ แม้ราคาหุ้นไม่ได้วิ่งแรง
SCB (SCB X)
SET factsheet แสดง dividend yield แถว 7–8% (อัปเดตตามราคา) และมีข้อมูล payout ratio 
ฝั่งบริษัทเองมีหน้า dividend policy & payments ที่บอกประวัติเงินปันผลชัด เช่น ปี 2024 รวม 10.44 บาท/หุ้น และ payout ratio 80% 
TISCO
SET factsheet ก็โชว์ dividend yield สูงใกล้เคียงกัน และ payout ratio ค่อนข้างสูง (แปลว่าเป็น “หุ้นปันผลจริงจัง”) 
แต่ธนาคารจะมีวัฏจักรของมัน credit cost, NPL, เศรษฐกิจ, กฎเกณฑ์, และการแข่งขันดอกเบี้ย
ดังนั้น “ยีลด์สูง” ไม่ได้แปลว่า “เสี่ยงต่ำ” เสมอไป มันแปลว่า “ตลาดกำลังตั้งราคาเผื่อความเสี่ยงบางอย่างอยู่”
.
.
10) หุ้น Growth รายตัว 15–20% CAGR “เป็นไปได้” แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่านี่คือสนามของคนที่ทำการบ้านจริง
ทำได้ไหม? ทำได้ (ในทางคณิตศาสตร์และในโลกจริงมีคนทำได้ และผมก็ทำมาแล้ว)
แต่สิ่งที่ตลาดเรียกเก็บคือ drawdown/volatility และ “ความเสี่ยงของ thesis”
คือมันไม่ใช่แค่ถือยาว ๆ แต่ไม่เข้าใจ thesis ตั้งแต่วันแรก” อันนี้คือหัวใจ
เพราะ growth stock แพ้ไม่ใช่แค่เพราะกราฟลง แต่มันแพ้เพราะ “เรื่องที่เราเชื่อ” ผิด หรือถูกแต่ใช้เวลานานเกินกว่าทุนใจ/ทุนเงินจริงเราจะรอไหว
📍(เสริม) มีอะไรใน “ตลาด” ที่มักเห็น >7% อีกไหม
มี แต่ต้องเข้าใจว่า >7% มักมาพร้อมอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ เช่น ความเสี่ยงเครดิต, ความเสี่ยงโครงสร้าง, หรือคุณกำลังขาย upside/รับ tail risk
กลุ่มที่คนชอบใช้เป็น “เครื่องมือ” มากกว่า “คำตอบสำเร็จรูป” เช่น
High yield / leveraged loans / private credit (ได้จาก credit risk)
REIT บางตัว / BDCs / CEF บางประเภท (ได้จาก leverage + distribution policy)
Option-income (CSP/covered call) ได้จาก volatility risk premium แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เงินฟรี
อีกหลายเส้นทางที่ “มีโอกาส” เกิน 7% แต่เป็นคนละเกม (นอกตลาด/กึ่งนอกตลาด)
Private equity / venture / private credit / อสังหา value-add / ทำธุรกิจเอง
พวกนี้ “มีโอกาส” ให้ผลตอบแทนสูงกว่า public market ได้ แต่แลกด้วยสภาพคล่องต่ำ, กระจายผลลัพธ์สูง (dispersion), และความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง/การบริหาร 
สรุปแบบภาษาคน
อยากได้เกิน 7% ต่อปี มีทางเยอะมาก
แต่ทุกทางมันจะเก็บ “ค่าเข้า” คนละแบบ
Passive (VOO/VT/SCHG/QQQ) ค่าเข้าคือ “ถือยาว + ทน drawdown”
Factor (SPMO) ค่าเข้าคือ “เข้าใจ regime + ยอมรับ crash เป็นช่วง ๆ”
Income overlay (JEPQ) ค่าเข้าคือ “ยอมแลก upside เพื่อ cashflow” 
Crypto / Arbitrage ค่าเข้าคือ “รับความเสี่ยงเชิงระบบ + operational + margin” 
หุ้นรายตัวค่าเข้าคือ “การบ้าน + thesis + วินัย”
⚠️ ขอฝากไว้นิดนึงครับ
คนส่วนใหญ่ที่ผมเจอ พอคุยเรื่องผลตอบแทน 7–10% ต่อปี ก็จะรีบสรุปทันทีว่า
“ไม่มีหรอก เป็นไปไม่ได้”
ผมฟังแล้วมันให้อารมณ์เดียวกับประโยคที่ว่า
“เงินเดือน 15,000 บาท ไม่มีวันไปถึง 100,000 บาทได้หรอก”
ทั้ง ๆ ที่ในประเทศไทยก็มีคนเงินเดือน 100,000 จริง
คำถามคือ เขาได้มันมาฟรี ๆ ไหม? ไม่เลย
มันขึ้นอยู่กับอะไรล่ะ
ความสามารถไหม
ความรู้ไหม
ประสบการณ์ไหม
วินัยไหม
และที่สำคัญ… “เขาเอาอะไรไปแลกมา”
เพราะโลกนี้ไม่มีใครจ่ายให้คุณฟรี ๆ
สุดท้ายคุณอยากได้อะไรเพิ่ม คุณต้องยอมเสียบางอย่างเพิ่มเสมอ
ผลตอบแทน 7% ต่อปี ก็เหมือนกัน
มันไม่ใช่เลขวิเศษ
มันคือ “ค่าตั๋ว” ที่ต้องจ่ายด้วยเวลา ความรู้ การยอมรับความผันผวน และการคุมตัวเองให้ได้ตอนตลาดไม่เป็นใจ
Earth Evans
CR
https://www.facebook.com/share/17vGNfn69G/?mibextid=wwXIfr
คนส่วนใหญ่ถามเหมือนกันหมดว่า “มีอะไรให้ผลตอบแทนเกิน 7% ต่อปีบ้าง” หายากนะ! ไม่มีหรอก! 3% ก็หรูแล้ว😓
แต่คำตอบที่ตรงที่สุดคือ ผลตอบแทนมันไม่ได้มาจาก “ชื่อสินทรัพย์” อย่างเดียว มันมาจาก 3 อย่างพร้อมกัน
อย่างที่ 1 ระยะเวลา (time horizon)
อย่างที่ 2 ความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ (risk / drawdown / volatility)
อย่างที่ 3 ความสามารถ + วินัย (skill + behavior)
7% ต่อปี มันเลยไม่ใช่ “เลขวิเศษ” แต่มันคือ “ราคาที่เราต้องจ่าย” ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ
คือถ้าจะให้พูดตรงๆ ความสามารถ + ความรู้ คุณมีมากเท่าไหนผลตอบแทนมากตามได้เสมอนั่นแหละ
ต่อไปนี้คือ “ลิสต์เส้นทาง” ที่ “มีโอกาส” ทำได้เกิน 7% ต่อปี ทั้งสาย Passive และ Active (พร้อมอธิบายว่ามันได้จากอะไร และต้องแลกกับอะไร)
1) VOO (S&P 500) ทำไมคนถึงเชื่อว่า “เฉลี่ยระยะยาว” เกิน 7% ได้
ภาพใหญ่ของหุ้นตลาดรวม (broad equity) คือ “ผลตอบแทน = กำไรของธุรกิจ + การเติบโต + เงินคืนผู้ถือหุ้น”
ในภาษาคนลงทุน: บริษัทอเมริกาทั้งระบบมัน “หาเงินเก่งขึ้นเรื่อย ๆ” แล้วมันคืนเงินด้วยปันผล/ซื้อหุ้นคืน และถ้าเราถือยาวพอ ผลลัพธ์มันมักออกมาเป็นเลขสองหลักแบบ nominal ในหลายช่วงเวลา
ตัวเลขอ้างอิงที่คนใช้กันบ่อยคือ S&P 500 ระยะยาวอยู่แถว ๆ ประมาณ 10% ต่อปีแบบ nominal average (รวมปันผล) และถ้าหักเงินเฟ้อ เหลือราว 6–7% ต่อปี (real return) 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized Total Return, ณ 30 พ.ย. 2025)
VOO ช่วง 10 ปี = 13.28% ต่อปี
VOO ช่วง 5 ปี = 14.74% ต่อปี
VOO ช่วง 1 ปี = 14.78% ต่อปี
ประโยคสำคัญที่ต้องพูดให้ถูกคือ “10% average” ไม่ได้แปลว่า “คุณจะได้ 10% ทุกปี” และไม่ใช่การการันตีอนาคต
มันแปลว่า ถ้าคุณยอมรับปีที่ -20% / -30% ได้ แล้วถือยาวจริง โอกาสเฉลี่ยระยะยาวให้เกิน 7% “มีความเป็นไปได้” ตามประวัติศาสตร์ 
.
.
2) VT (หุ้นโลกทั้งใบ) ได้เกิน 7% ได้ไหม
VT คือ “กระจายทั้งโลก” แบบไม่ต้องเดาว่าใครชนะระหว่าง US vs ex-US
ข้อดีคือ ลดความเสี่ยงประเทศเดียว (single-country risk)
ข้อแลกคือ คุณจะได้ผลตอบแทนแบบ “โลก” ไม่ได้ concentrated แบบ Nasdaq
ข้อมูลจากเอกสารของ Vanguard เอง ณ 30 ก.ย. 2025: ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีช่วง 10 ปีของ VT อยู่ราว 11.9% (ช่วงนั้นตลาดโลกเป็นขาขึ้นแรงด้วย) 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
VT ช่วง 10 ปี = 8.77% ต่อปี
VT ช่วง 5 ปี = 10.87% ต่อปี
VT ช่วง 1 ปี = 10.90% ต่อปี
ดังนั้น “เกิน 7%” เป็นไปได้ แต่ต้องจำไว้ว่า “ตัวเลข 10 ปี” มันแกว่งได้ตามวัฏจักร
.
.
3) SCHG (Large-Cap Growth) และโลกของ “Growth Premium”
SCHG คือฝั่ง “โต” เน้นบริษัทใหญ่สาย growth
เส้นทางนี้ทำให้เกิน 7% ได้ง่ายในยุคที่ growth ถูกให้ multiple แพง หรือกำไรโตเร็วจริง
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
SCHG ช่วง 10 ปี = 16.58% ต่อปี
SCHG ช่วง 5 ปี = 18.00% ต่อปี
SCHG ช่วง 1 ปี = 16.41% ต่อปี
แต่จุดที่มือใหม่พลาดคือ คิดว่า “โต = ปลอดภัย”
จริง ๆ growth แพ้ได้หนักตอนดอกเบี้ยขึ้น หรือเวลาความคาดหวังในราคามันล้ำหน้าความจริงไปไกล
Schwab มีสรุปผลตอบแทนแบบ annualized returns บนหน้ากองโดยตรง (รวมช่วง since inception) 
.
.
4) QQQ (Nasdaq 100) ทำไมผลตอบแทนมันดู “โหด” แต่ก็มีปีที่ทำให้คนหลุดศรัทธา
QQQ คือ “หุ้นคุณภาพสูงสาย tech/innovation” แต่กระจุกมากกว่า S&P 500
สิ่งที่ต้องพูดคู่กันเสมอคือ
มันเคยมีช่วง “dot-com” ที่ลงหนักหลายปีติด (ไม่ใช่แค่ลงปีเดียวแล้วเด้ง) ซึ่งเป็นบททดสอบทางใจระดับโหด 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
QQQ ช่วง 10 ปี = 18.27% ต่อปี
QQQ ช่วง 5 ปี = 19.94% ต่อปี
QQQ ช่วง 1 ปี = 18.22% ต่อปี 
นี่แหละเหตุผลที่ผมชอบพูดว่า “ถ้าอยากได้ return แบบ QQQ คุณต้องยอมรับตัวเองเวอร์ชันที่ทนตลาดแดงได้ด้วย” ไม่งั้นผลตอบแทนมันอยู่ในกราฟ แต่ไม่เคยอยู่ในพอร์ตเรา
Invesco มีหน้า performance ของ QQQ อัปเดตต่อเนื่อง (ดู cumulative/period returns ได้) 
คือเอาจริงๆเชื่อว่าเทคโนโลยียังขับเคลื่อนโลก “เกิน 7% ได้” แต่แลกกับ “ความผันผวน + ความเสี่ยงด้าน valuation/regime” ที่สูงกว่า VOO แค่นั่น คุณรับได้ไหมอ่ะ??
.
.
5) SPMO (Momentum) ทำไมมันมีโอกาสชนะตลาด แต่ก็มี “Momentum crash”
Momentum (โมเมนตัม) คือแนวคิดง่าย ๆ: หุ้นที่ “ขึ้นแรงต่อเนื่อง” มักมีแรงส่งต่อไปช่วงหนึ่ง
มันเป็น factor ที่มีงานวิจัยรองรับมานาน (แนว UMD: up-minus-down) 
SPMO คือการเอาไอเดียนี้มาทำเป็นกอง โดยคัดหุ้นใน S&P 500 ที่มี “momentum score” สูง และมีการปรับพอร์ตเป็นรอบ ๆ 
ตัวเลขให้เห็นภาพ (Annualized, ณ 30 พ.ย. 2025)
SPMO ช่วง 10 ปี = 14.83% ต่อปี
SPMO ช่วง 5 ปี = 17.31% ต่อปี
SPMO ช่วง 1 ปี = 20.78% ต่อปี
ข้อดี: โอกาส outperform ในบาง regime
ข้อแลก: มีช่วงที่ “เม่าโดนดูดกลับ” (momentum crash) เวลา market regime เปลี่ยนเร็ว ๆ
.
.
6) JEPQ (สาย Income) “ได้ยีลด์สูง” จริง แต่ต้องยอมรับว่ามัน “ล็อกเพดาน upside”
JEPQ คือแนว covered call (คัฟเวอร์ด คอล) / option overlay: ถือหุ้นแนว Nasdaq-ish แล้วขายออปชันเพื่อเก็บ premium เป็นรายได้ 
ใน fact sheet ของ JPM ณ 30 พ.ย. 2025:
30-day SEC yield (เอสอีซี ยีลด์) ราว 11.52% และ 12-month rolling dividend yield ราว 10.93% 
แต่แกนคิดที่ต้องพูดให้ครบคือ “รายได้สูง = คุณขายโอกาสกำไรบางส่วนทิ้ง”
ตลาด sideway/ผันผวน = มักดูดี
ตลาดกระชากขึ้นแรง = มัก underperform เพราะโดน cap upside 
.
.
7) BTC “เกิน 7%” ได้ไหม? ได้…แต่ต้องยอมรับว่าเกมนี้มันวัดใจมาก
บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ historical return สูงมากในหลายช่วงเวลา แต่ volatility โหด และ drawdown หนักเป็นเรื่องปกติ
ตัวอย่างเชิงข้อมูล ช่วง 10 ปี บิทคอยน์เคยมี average annualised return สูงมาก (ขึ้นกับช่วงที่เลือก) 
แต่ประเด็นสำคัญกว่าคือ “คุณอยู่รอดระหว่างทางได้ไหม” เพราะมันไม่ใช่กราฟที่เดินสวย ๆ
ถ้าจะใส่ BTC ให้เป็น “asset allocation ที่ไม่พังชีวิต” ต้องคุยเรื่อง position sizing และ rebalancing มากกว่าคุยแต่ผลตอบแทน 2-5% คือาัดส่วนที่ผมถือ เพราะใจสั่น🤣
.
.
8. Cash & Carry Arbitrage (แคช-แอนด์-แคร์รี) Long Spot + Short Futures ได้ 10% ต่อปี “ได้จากอะไร”
โครงสร้างมันคือ “กินส่วนต่าง” (basis/เบสิส) ระหว่างราคา futures กับ spot
ถ้า futures แพงกว่า spot (contango/คอนแทนโก) คุณซื้อ spot แล้ว short futures ล็อกส่วนต่างไว้ และรอให้มัน converge ตอนใกล้หมดอายุ 
แต่…นี่ไม่ใช่ “ดอกเบี้ยไร้ความเสี่ยง”
BIS เคยชี้ชัดว่า cash-and-carry มี funding risk และ margin risk ถ้า basis วิ่งสวนก่อนถึงวันหมดอายุ อาจโดน margin call จนถูกบังคับปิดสถานะก่อนที่ราคาจะ converge 
“ต้องไปเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ” และต้องเข้าใจ operational risk, exchange/custody, leverage, และการจัด margin แบบมืออาชีพ นึกไม่ออกไปเรียนที่ไหน เพจ ติดเล่าเรื่องลงทุน อาจารย์เอ็มสุดที่เลิฟผมเอง
.
.
9) SCB / TISCO (ธนาคารไทย) ทำไม “ผลตอบแทนเกิน 7%” มันมักมาในรูป “ปันผล”
ธนาคารไทยบางช่วงให้ dividend yield สูงมาก ซึ่งทำให้ “ผลตอบแทนรวม” มีโอกาสเกิน 7% ได้ แม้ราคาหุ้นไม่ได้วิ่งแรง
SCB (SCB X)
SET factsheet แสดง dividend yield แถว 7–8% (อัปเดตตามราคา) และมีข้อมูล payout ratio 
ฝั่งบริษัทเองมีหน้า dividend policy & payments ที่บอกประวัติเงินปันผลชัด เช่น ปี 2024 รวม 10.44 บาท/หุ้น และ payout ratio 80% 
TISCO
SET factsheet ก็โชว์ dividend yield สูงใกล้เคียงกัน และ payout ratio ค่อนข้างสูง (แปลว่าเป็น “หุ้นปันผลจริงจัง”) 
แต่ธนาคารจะมีวัฏจักรของมัน credit cost, NPL, เศรษฐกิจ, กฎเกณฑ์, และการแข่งขันดอกเบี้ย
ดังนั้น “ยีลด์สูง” ไม่ได้แปลว่า “เสี่ยงต่ำ” เสมอไป มันแปลว่า “ตลาดกำลังตั้งราคาเผื่อความเสี่ยงบางอย่างอยู่”
.
.
10) หุ้น Growth รายตัว 15–20% CAGR “เป็นไปได้” แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่านี่คือสนามของคนที่ทำการบ้านจริง
ทำได้ไหม? ทำได้ (ในทางคณิตศาสตร์และในโลกจริงมีคนทำได้ และผมก็ทำมาแล้ว)
แต่สิ่งที่ตลาดเรียกเก็บคือ drawdown/volatility และ “ความเสี่ยงของ thesis”
คือมันไม่ใช่แค่ถือยาว ๆ แต่ไม่เข้าใจ thesis ตั้งแต่วันแรก” อันนี้คือหัวใจ
เพราะ growth stock แพ้ไม่ใช่แค่เพราะกราฟลง แต่มันแพ้เพราะ “เรื่องที่เราเชื่อ” ผิด หรือถูกแต่ใช้เวลานานเกินกว่าทุนใจ/ทุนเงินจริงเราจะรอไหว
📍(เสริม) มีอะไรใน “ตลาด” ที่มักเห็น >7% อีกไหม
มี แต่ต้องเข้าใจว่า >7% มักมาพร้อมอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ เช่น ความเสี่ยงเครดิต, ความเสี่ยงโครงสร้าง, หรือคุณกำลังขาย upside/รับ tail risk
กลุ่มที่คนชอบใช้เป็น “เครื่องมือ” มากกว่า “คำตอบสำเร็จรูป” เช่น
High yield / leveraged loans / private credit (ได้จาก credit risk)
REIT บางตัว / BDCs / CEF บางประเภท (ได้จาก leverage + distribution policy)
Option-income (CSP/covered call) ได้จาก volatility risk premium แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เงินฟรี
อีกหลายเส้นทางที่ “มีโอกาส” เกิน 7% แต่เป็นคนละเกม (นอกตลาด/กึ่งนอกตลาด)
Private equity / venture / private credit / อสังหา value-add / ทำธุรกิจเอง
พวกนี้ “มีโอกาส” ให้ผลตอบแทนสูงกว่า public market ได้ แต่แลกด้วยสภาพคล่องต่ำ, กระจายผลลัพธ์สูง (dispersion), และความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง/การบริหาร 
สรุปแบบภาษาคน
อยากได้เกิน 7% ต่อปี มีทางเยอะมาก
แต่ทุกทางมันจะเก็บ “ค่าเข้า” คนละแบบ
Passive (VOO/VT/SCHG/QQQ) ค่าเข้าคือ “ถือยาว + ทน drawdown”
Factor (SPMO) ค่าเข้าคือ “เข้าใจ regime + ยอมรับ crash เป็นช่วง ๆ”
Income overlay (JEPQ) ค่าเข้าคือ “ยอมแลก upside เพื่อ cashflow” 
Crypto / Arbitrage ค่าเข้าคือ “รับความเสี่ยงเชิงระบบ + operational + margin” 
หุ้นรายตัวค่าเข้าคือ “การบ้าน + thesis + วินัย”
⚠️ ขอฝากไว้นิดนึงครับ
คนส่วนใหญ่ที่ผมเจอ พอคุยเรื่องผลตอบแทน 7–10% ต่อปี ก็จะรีบสรุปทันทีว่า
“ไม่มีหรอก เป็นไปไม่ได้”
ผมฟังแล้วมันให้อารมณ์เดียวกับประโยคที่ว่า
“เงินเดือน 15,000 บาท ไม่มีวันไปถึง 100,000 บาทได้หรอก”
ทั้ง ๆ ที่ในประเทศไทยก็มีคนเงินเดือน 100,000 จริง
คำถามคือ เขาได้มันมาฟรี ๆ ไหม? ไม่เลย
มันขึ้นอยู่กับอะไรล่ะ
ความสามารถไหม
ความรู้ไหม
ประสบการณ์ไหม
วินัยไหม
และที่สำคัญ… “เขาเอาอะไรไปแลกมา”
เพราะโลกนี้ไม่มีใครจ่ายให้คุณฟรี ๆ
สุดท้ายคุณอยากได้อะไรเพิ่ม คุณต้องยอมเสียบางอย่างเพิ่มเสมอ
ผลตอบแทน 7% ต่อปี ก็เหมือนกัน
มันไม่ใช่เลขวิเศษ
มันคือ “ค่าตั๋ว” ที่ต้องจ่ายด้วยเวลา ความรู้ การยอมรับความผันผวน และการคุมตัวเองให้ได้ตอนตลาดไม่เป็นใจ
Earth Evans
CR https://www.facebook.com/share/17vGNfn69G/?mibextid=wwXIfr