
TITLE: Bad Boys for Life (2020) : คุ้มค่ากับการรอคอยไหม? สองเก๋าไมอามี่กลับมาแล้ว!
สวัสดีครับ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีรีวิวภาพยนตร์แอ็คชั่นที่หลายคนรอคอยมานานอย่าง Bad Boys for Life มาฝากกันครับ หลังจากที่ภาคสองทิ้งช่วงไปนานจนเกือบจะคิดว่าหนังชุดนี้จะไม่มีภาคต่อแล้ว แต่แล้วในปี 2020 สองเก๋าอย่าง ไมค์ โลว์รี่ (วิลล์ สมิธ) และมาร์คัส เบอร์เน็ตต์ (มาร์ติน ลอว์เรนซ์) ก็กลับมาปลุกไมอามี่ให้ลุกเป็นไฟอีกครั้งครับ
บอกตรงๆ เลยนะครับว่าตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่าจะทำภาคต่อ ผมก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกันครับ กลัวว่าสองนักแสดงรุ่นใหญ่อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว จะยังเล่นฉากบู๊หนักๆ ได้ไหวไหม? เนื้อเรื่องจะยังสดใหม่หรือเปล่า? แต่พอได้ดูจริงๆ แล้ว ความกังวลเหล่านั้นก็มลายหายไปหมดเลยครับ หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ถึงเครื่องจริงๆ ทั้งแอ็คชั่น ฮา และดราม่า ครบรสเลยครับ
จุดเด่นแรกที่ผมอยากจะพูดถึงเลยก็คือ "เคมี" ของ วิลล์ สมิธ และ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ ครับ สองคนนี้คือตำนานจริงๆ ครับ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่พอได้มาเจอกันบนจอทีไร ก็ยังคงความสนุกสนาน ความเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ ดูแล้วอินตามได้ไม่ยากเลยครับ ฉากที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน หรือแม้แต่ฉากที่ต้องช่วยเหลือกัน มันดูเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ได้รู้สึกว่ายัดเยียดเข้ามาเลยครับ
และที่เซอร์ไพรส์ผมมากๆ ก็คือ "ความสดใหม่" ของหนังภาคนี้ครับ ผู้กำกับ Adil El Arbi และ Bilall Fallah ทำการบ้านมาดีมากๆ พวกเขาไม่ได้พยายามจะทำหนังให้เหมือนสองภาคแรกเป๊ะๆ แต่เลือกที่จะ "ปรับ" และ "พัฒนา" ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นครับ เราจะได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ การถ่ายทำที่ทันสมัยขึ้น การตัดต่อที่ฉับไว และฉากแอ็คชั่นที่ทั้งดุเดือดและสร้างสรรค์กว่าเดิมครับ
พูดถึงฉากแอ็คชั่นนี่คือต้องยกนิ้วให้เลยครับ! มันส์มากจริงๆ ครับ มีทั้งฉากไล่ล่าด้วยรถที่น่าตื่นเต้น ฉากยิงปะทะที่ดุเดือด และฉากต่อสู้แบบประชิดตัวที่สมจริงมากๆ ครับ ผู้กำกับใส่ลูกเล่นเข้าไปเยอะ ทำให้ไม่รู้สึกว่าจำเจเลยครับ บางฉากนี่ต้องนั่งลุ้นตามตัวโก่งเลยทีเดียวครับ แต่ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ การผสมผสานความเป็น "Bad Boys" เข้ากับ "ความเก๋า" ของสองนักแสดงได้อย่างลงตัวครับ ไม่ได้มีแค่บู๊แหลกอย่างเดียว แต่ยังมีสไตล์และอารมณ์ขันที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาอยู่ครบถ้วน
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาก็คือ "เนื้อเรื่อง" ครับ ภาคนี้จะโฟกัสไปที่การเผชิญหน้ากับอดีตของไมค์ โลว์รี่ ครับ เมื่อมีอดีตของไมค์ตามมาทวงแค้น เขาต้องกลับมาสะสางเรื่องราวในอดีตที่เขาเคยทำไว้ ซึ่งมันทำให้ตัวละครไมค์มีความลึกมากขึ้นครับ ไม่ใช่แค่ตำรวจสายบู๊ แต่มีความเป็นมนุษย์ มีความผิดพลาด และต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ ครับ
ตัวร้ายในภาคนี้ก็ทำออกมาได้ดีครับ มีที่มาที่ไป มีแรงจูงใจที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตัวร้ายที่โผล่มาให้ตัวเอกยิงเล่นๆ ครับ ทำให้การปะทะกันของสองฝ่ายดูมีความหมายมากขึ้นครับ
แน่นอนว่าในหนัง Bad Boys ก็ต้องมี "มุกตลก" ครับ และภาคนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ มุกส่วนใหญ่มาจากคาแรคเตอร์ของ ไมค์ และ มาร์คัส เองครับ การแซวกันไปมา การเหน็บแนมกัน ทำให้บรรยากาศในโรงหนังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครับ บางมุกอาจจะดูฝืดๆ บ้างตามสไตล์ของพวกเขา แต่โดยรวมแล้วคือฮาครับ
นอกจากนี้ หนังยังมีการแนะนำตัวละครใหม่ๆ ที่น่าสนใจเข้ามาด้วยครับ ทีมตำรวจรุ่นใหม่ที่เข้ามาช่วยไมค์กับมาร์คัส ก็ดูมีความสามารถและมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนครับ เป็นการสร้างสีสันและทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของหน่วยงานตำรวจด้วยครับ
แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า หนังเรื่องนี้ก็มีจุดที่อาจจะถูกวิจารณ์ได้บ้างเหมือนกันครับ บางคนอาจจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันเดาทางได้ง่ายไปหน่อย หรือบางฉากอาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของหนังแนวนี้อยู่แล้วครับ ถ้าคุณคาดหวังอะไรที่สมจริงมากๆ อาจจะต้องข้ามเรื่องนี้ไปครับ
สำหรับผมแล้ว Bad Boys for Life (2020) คือหนังแอ็คชั่นที่ "คุ้มค่ากับการรอคอย" ครับ มันเป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรีของสองเก๋าไมอามี่จริงๆ ครับ มันมอบทั้งความสนุก ความมันส์ และความประทับใจให้กับผมมากๆ ครับ เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ มีมุกตลก และอยากเห็นการกลับมาของฮีโร่ในดวงใจครับ
สรุปแล้วนะครับ ถ้าคุณเป็นแฟนของ Bad Boys มาก่อน หรือกำลังมองหาหนังแอ็คชั่นสนุกๆ ที่ดูแล้วคลายเครียด ผมขอแนะนำเรื่องนี้เลยครับ ไปดูซะ แล้วคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
คะแนนในใจผมให้ 8.5/10 ครับ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวจนจบนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจดูหนังนะครับ แล้วเจอกันใหม่รีวิวหน้าครับ!
Bad Boys for Life (2020) : คุ้มค่ากับการรอคอยไหม? สองเก๋าไมอามี่กลับมาแล้ว!
TITLE: Bad Boys for Life (2020) : คุ้มค่ากับการรอคอยไหม? สองเก๋าไมอามี่กลับมาแล้ว!
สวัสดีครับ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีรีวิวภาพยนตร์แอ็คชั่นที่หลายคนรอคอยมานานอย่าง Bad Boys for Life มาฝากกันครับ หลังจากที่ภาคสองทิ้งช่วงไปนานจนเกือบจะคิดว่าหนังชุดนี้จะไม่มีภาคต่อแล้ว แต่แล้วในปี 2020 สองเก๋าอย่าง ไมค์ โลว์รี่ (วิลล์ สมิธ) และมาร์คัส เบอร์เน็ตต์ (มาร์ติน ลอว์เรนซ์) ก็กลับมาปลุกไมอามี่ให้ลุกเป็นไฟอีกครั้งครับ
บอกตรงๆ เลยนะครับว่าตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่าจะทำภาคต่อ ผมก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกันครับ กลัวว่าสองนักแสดงรุ่นใหญ่อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว จะยังเล่นฉากบู๊หนักๆ ได้ไหวไหม? เนื้อเรื่องจะยังสดใหม่หรือเปล่า? แต่พอได้ดูจริงๆ แล้ว ความกังวลเหล่านั้นก็มลายหายไปหมดเลยครับ หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ถึงเครื่องจริงๆ ทั้งแอ็คชั่น ฮา และดราม่า ครบรสเลยครับ
จุดเด่นแรกที่ผมอยากจะพูดถึงเลยก็คือ "เคมี" ของ วิลล์ สมิธ และ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ ครับ สองคนนี้คือตำนานจริงๆ ครับ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่พอได้มาเจอกันบนจอทีไร ก็ยังคงความสนุกสนาน ความเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ ดูแล้วอินตามได้ไม่ยากเลยครับ ฉากที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน หรือแม้แต่ฉากที่ต้องช่วยเหลือกัน มันดูเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ได้รู้สึกว่ายัดเยียดเข้ามาเลยครับ
และที่เซอร์ไพรส์ผมมากๆ ก็คือ "ความสดใหม่" ของหนังภาคนี้ครับ ผู้กำกับ Adil El Arbi และ Bilall Fallah ทำการบ้านมาดีมากๆ พวกเขาไม่ได้พยายามจะทำหนังให้เหมือนสองภาคแรกเป๊ะๆ แต่เลือกที่จะ "ปรับ" และ "พัฒนา" ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นครับ เราจะได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ การถ่ายทำที่ทันสมัยขึ้น การตัดต่อที่ฉับไว และฉากแอ็คชั่นที่ทั้งดุเดือดและสร้างสรรค์กว่าเดิมครับ
พูดถึงฉากแอ็คชั่นนี่คือต้องยกนิ้วให้เลยครับ! มันส์มากจริงๆ ครับ มีทั้งฉากไล่ล่าด้วยรถที่น่าตื่นเต้น ฉากยิงปะทะที่ดุเดือด และฉากต่อสู้แบบประชิดตัวที่สมจริงมากๆ ครับ ผู้กำกับใส่ลูกเล่นเข้าไปเยอะ ทำให้ไม่รู้สึกว่าจำเจเลยครับ บางฉากนี่ต้องนั่งลุ้นตามตัวโก่งเลยทีเดียวครับ แต่ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ การผสมผสานความเป็น "Bad Boys" เข้ากับ "ความเก๋า" ของสองนักแสดงได้อย่างลงตัวครับ ไม่ได้มีแค่บู๊แหลกอย่างเดียว แต่ยังมีสไตล์และอารมณ์ขันที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาอยู่ครบถ้วน
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาก็คือ "เนื้อเรื่อง" ครับ ภาคนี้จะโฟกัสไปที่การเผชิญหน้ากับอดีตของไมค์ โลว์รี่ ครับ เมื่อมีอดีตของไมค์ตามมาทวงแค้น เขาต้องกลับมาสะสางเรื่องราวในอดีตที่เขาเคยทำไว้ ซึ่งมันทำให้ตัวละครไมค์มีความลึกมากขึ้นครับ ไม่ใช่แค่ตำรวจสายบู๊ แต่มีความเป็นมนุษย์ มีความผิดพลาด และต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ ครับ
ตัวร้ายในภาคนี้ก็ทำออกมาได้ดีครับ มีที่มาที่ไป มีแรงจูงใจที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตัวร้ายที่โผล่มาให้ตัวเอกยิงเล่นๆ ครับ ทำให้การปะทะกันของสองฝ่ายดูมีความหมายมากขึ้นครับ
แน่นอนว่าในหนัง Bad Boys ก็ต้องมี "มุกตลก" ครับ และภาคนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ มุกส่วนใหญ่มาจากคาแรคเตอร์ของ ไมค์ และ มาร์คัส เองครับ การแซวกันไปมา การเหน็บแนมกัน ทำให้บรรยากาศในโรงหนังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครับ บางมุกอาจจะดูฝืดๆ บ้างตามสไตล์ของพวกเขา แต่โดยรวมแล้วคือฮาครับ
นอกจากนี้ หนังยังมีการแนะนำตัวละครใหม่ๆ ที่น่าสนใจเข้ามาด้วยครับ ทีมตำรวจรุ่นใหม่ที่เข้ามาช่วยไมค์กับมาร์คัส ก็ดูมีความสามารถและมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนครับ เป็นการสร้างสีสันและทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของหน่วยงานตำรวจด้วยครับ
แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า หนังเรื่องนี้ก็มีจุดที่อาจจะถูกวิจารณ์ได้บ้างเหมือนกันครับ บางคนอาจจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันเดาทางได้ง่ายไปหน่อย หรือบางฉากอาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของหนังแนวนี้อยู่แล้วครับ ถ้าคุณคาดหวังอะไรที่สมจริงมากๆ อาจจะต้องข้ามเรื่องนี้ไปครับ
สำหรับผมแล้ว Bad Boys for Life (2020) คือหนังแอ็คชั่นที่ "คุ้มค่ากับการรอคอย" ครับ มันเป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรีของสองเก๋าไมอามี่จริงๆ ครับ มันมอบทั้งความสนุก ความมันส์ และความประทับใจให้กับผมมากๆ ครับ เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ มีมุกตลก และอยากเห็นการกลับมาของฮีโร่ในดวงใจครับ
สรุปแล้วนะครับ ถ้าคุณเป็นแฟนของ Bad Boys มาก่อน หรือกำลังมองหาหนังแอ็คชั่นสนุกๆ ที่ดูแล้วคลายเครียด ผมขอแนะนำเรื่องนี้เลยครับ ไปดูซะ แล้วคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
คะแนนในใจผมให้ 8.5/10 ครับ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวจนจบนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจดูหนังนะครับ แล้วเจอกันใหม่รีวิวหน้าครับ!