🌸ช่วงหลังๆ เห็นหลายคนแชร์การใช้
เบกกิ้งโซดา (Sodium Bicarbonate) กันเยอะมาก ตั้งแต่ล้างผัก ทำความสะอาด ฟอกฟัน รักษาสิว ยันกินลดกรดในท้อง
แต่จริงๆ แล้วอะไร “ใช้ได้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์” และอะไรที่ “มีความเสี่ยง”?
เลยรวบรวมข้อมูลแบบสั้น กระชับ แต่มีที่มาทางวิทยาศาสตร์มาฝากค่ะ
🔬
เบกกิ้งโซดาคืออะไร?
เป็นสารประกอบเคมีชื่อ
โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO₃) มีความเป็นด่างอ่อน (pH ประมาณ 8–9)
สิ่งที่ทำให้มันใช้งานได้หลากหลายคือ
ช่วยปรับสมดุลกรด–ด่าง
ทำปฏิกิริยากับกรดแล้วปล่อยก๊าซ CO₂ → ใช้ทำขนมฟู
มีฤทธิ์ขัดถู (mild abrasive)
✅ ประโยชน์ (ที่มีงานวิจัยรองรับ)
1) ใช้ดับกลิ่นได้จริง
เบกกิ้งโซดาจับโมเลกุลกรด–ด่างที่เป็นสาเหตุกลิ่น ทำให้ลดกลิ่นในตู้เย็น รองเท้า หรือถังขยะได้จริง
ถือว่าเป็น “สารดูดกลิ่นธรรมชาติ” ที่มีประสิทธิภาพ
2) ใช้ทำความสะอาดครัว/อุปกรณ์ได้ดี
ฤทธิ์เป็นด่าง + ลักษณะเป็นผงช่วยขัด คราบน้ำมันอ่อน ๆ และคราบไหม้เบา ๆ ได้
ไม่เป็นพิษเหมือนสารทำความสะอาดแรงๆ
3) ใช้ทำขนมให้ฟู (หลักการเคมีชัดเจน)
เมื่อทำปฏิกิริยากับกรด เช่น น้ำมะนาว เวนิก้า หรือผงฟู จะเกิด CO₂ → ฟองอากาศในเนื้อเค้ก ขนมปัง
4) ใช้ล้างผักเพื่อลดสารตกค้างบางชนิด
เบกกิ้งโซดาสามารถช่วยล้างผักผลไม้ให้สะอาดขึ้น โดยช่วยลดสารกำจัดศัตรูพืช “บางชนิด” ได้
แต่ ไม่สามารถล้างออกได้ทั้งหมด (ตามข้อมูลจากงานวิจัยของ USDA)
5) แก้กรดเกินในกระเพาะได้ (แต่ต้องระวัง)
เบกกิ้งโซดาเป็นยาลดกรดแบบชั่วคราวในวงการแพทย์จริง
แต่ต้องใช้ใน “ขนาดที่ปลอดภัย” และไม่ควรใช้ต่อเนื่อง เพราะโซเดียมสูงมาก
⚠️
ข้อควรระวัง / โทษ (จากงานวิจัยจริง)
❌
1) ไม่ควรขัดหน้า/ขัดผิวบ่อย
pH ของผิวอยู่ประมาณ 5.5 (เป็นกรดอ่อน)
การใช้สารด่างอย่างเบกกิ้งโซดาบ่อยๆ ทำให้
เยื่อหุ้มผิวถูกทำลาย → ผิวแห้ง แตก ระคายเคืองง่าย
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า การทำลาย “skin barrier” ส่งผลต่อปัญหาผิวตามมา
❌ 2) ไม่ควรใช้ฟอกฟันเป็นประจำ
แม้จะทำให้รู้สึกสะอาด แต่เบกกิ้งโซดามีฤทธิ์ขัด (abrasive)
การใช้บ่อยๆ จะทำให้ เคลือบฟันสึก → เสียวฟันง่าย และมีความเสี่ยงฟันผุ
ทันตแพทย์ส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ
❌ 3) ไม่ควรกินบ่อยหรือกินมากเกินไป
เพราะมี โซเดียมสูงมาก และอาจทำให้
ความดันสูงขึ้น
รบกวนสมดุลกรด–ด่างในร่างกาย
ผู้ป่วยโรคไต/หัวใจเสี่ยงอันตราย
มีรายงานทางการแพทย์ระบุเคสที่กินมากเกินไปจนเกิดอาการเลือดเป็นด่าง (metabolic alkalosis) ซึ่งอันตรายมาก
❌
4) ไม่เหมาะกับภาชนะบางชนิด (โดยเฉพาะอลูมิเนียม)
อาจทำให้เกิดการกัดระดับอ่อนๆ และทำให้ภาชนะ “หมอง” หรือเกิดรอยได้
👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉
ไหนใครเคยใช้ เบกกิ้งโซดา ทำอะไรกันบ้าง มา แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้นะคะ
💥 เบกกิ้งโซดาใช้ได้จริงแค่ไหน? มาดูประโยชน์–โทษที่หลายคนอาจไม่รู้ !
แต่จริงๆ แล้วอะไร “ใช้ได้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์” และอะไรที่ “มีความเสี่ยง”?
เลยรวบรวมข้อมูลแบบสั้น กระชับ แต่มีที่มาทางวิทยาศาสตร์มาฝากค่ะ
🔬 เบกกิ้งโซดาคืออะไร?
เป็นสารประกอบเคมีชื่อ โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO₃) มีความเป็นด่างอ่อน (pH ประมาณ 8–9)
สิ่งที่ทำให้มันใช้งานได้หลากหลายคือ
ช่วยปรับสมดุลกรด–ด่าง
ทำปฏิกิริยากับกรดแล้วปล่อยก๊าซ CO₂ → ใช้ทำขนมฟู
มีฤทธิ์ขัดถู (mild abrasive)
✅ ประโยชน์ (ที่มีงานวิจัยรองรับ)
1) ใช้ดับกลิ่นได้จริง
เบกกิ้งโซดาจับโมเลกุลกรด–ด่างที่เป็นสาเหตุกลิ่น ทำให้ลดกลิ่นในตู้เย็น รองเท้า หรือถังขยะได้จริง
ถือว่าเป็น “สารดูดกลิ่นธรรมชาติ” ที่มีประสิทธิภาพ
2) ใช้ทำความสะอาดครัว/อุปกรณ์ได้ดี
ฤทธิ์เป็นด่าง + ลักษณะเป็นผงช่วยขัด คราบน้ำมันอ่อน ๆ และคราบไหม้เบา ๆ ได้
ไม่เป็นพิษเหมือนสารทำความสะอาดแรงๆ
3) ใช้ทำขนมให้ฟู (หลักการเคมีชัดเจน)
เมื่อทำปฏิกิริยากับกรด เช่น น้ำมะนาว เวนิก้า หรือผงฟู จะเกิด CO₂ → ฟองอากาศในเนื้อเค้ก ขนมปัง
4) ใช้ล้างผักเพื่อลดสารตกค้างบางชนิด
เบกกิ้งโซดาสามารถช่วยล้างผักผลไม้ให้สะอาดขึ้น โดยช่วยลดสารกำจัดศัตรูพืช “บางชนิด” ได้
แต่ ไม่สามารถล้างออกได้ทั้งหมด (ตามข้อมูลจากงานวิจัยของ USDA)
5) แก้กรดเกินในกระเพาะได้ (แต่ต้องระวัง)
เบกกิ้งโซดาเป็นยาลดกรดแบบชั่วคราวในวงการแพทย์จริง
แต่ต้องใช้ใน “ขนาดที่ปลอดภัย” และไม่ควรใช้ต่อเนื่อง เพราะโซเดียมสูงมาก
⚠️ ข้อควรระวัง / โทษ (จากงานวิจัยจริง)
❌ 1) ไม่ควรขัดหน้า/ขัดผิวบ่อย
pH ของผิวอยู่ประมาณ 5.5 (เป็นกรดอ่อน)
การใช้สารด่างอย่างเบกกิ้งโซดาบ่อยๆ ทำให้ เยื่อหุ้มผิวถูกทำลาย → ผิวแห้ง แตก ระคายเคืองง่าย
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า การทำลาย “skin barrier” ส่งผลต่อปัญหาผิวตามมา
❌ 2) ไม่ควรใช้ฟอกฟันเป็นประจำ
แม้จะทำให้รู้สึกสะอาด แต่เบกกิ้งโซดามีฤทธิ์ขัด (abrasive)
การใช้บ่อยๆ จะทำให้ เคลือบฟันสึก → เสียวฟันง่าย และมีความเสี่ยงฟันผุ
ทันตแพทย์ส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ
❌ 3) ไม่ควรกินบ่อยหรือกินมากเกินไป
เพราะมี โซเดียมสูงมาก และอาจทำให้
ความดันสูงขึ้น
รบกวนสมดุลกรด–ด่างในร่างกาย
ผู้ป่วยโรคไต/หัวใจเสี่ยงอันตราย
มีรายงานทางการแพทย์ระบุเคสที่กินมากเกินไปจนเกิดอาการเลือดเป็นด่าง (metabolic alkalosis) ซึ่งอันตรายมาก
❌ 4) ไม่เหมาะกับภาชนะบางชนิด (โดยเฉพาะอลูมิเนียม)
อาจทำให้เกิดการกัดระดับอ่อนๆ และทำให้ภาชนะ “หมอง” หรือเกิดรอยได้
👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉👉
ไหนใครเคยใช้ เบกกิ้งโซดา ทำอะไรกันบ้าง มา แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้นะคะ