สวัสดีครับทุกคน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณสองเดือนก่อน ผมกลับบ้านต่างจังหวัด แล้วตั้งใจไปค้างที่วัดใกล้บ้านเพื่อถือศีลแปดกับแม่หนึ่งคืน
วัดนี้เป็นวัดเก่า อายุเป็นร้อยปี อยู่กลางทุ่งนา เงียบมาก ทั้งวัดคืนหนึ่งจะมีอยู่แค่พระ 2 องค์กับโยมที่ค้างไม่กี่คน
คิดว่าตอนแรกตัวเองจะได้ความสงบ
แต่สิ่งที่ผมได้… มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ
🌫️ ค่ำแรก: ความเงียบที่ไม่ใช่ความสงบ
กุฏิที่ให้ผมค้างอยู่ติดป่าละเมาะด้านข้างวัด
เป็นกุฏิไม้เก่า มีหน้าต่างบานเกร็ดที่ลมพัดแล้วเสียงดัง แกร๊ก ๆ ๆ
ผมเข้าไปปูเสื่อ เปิดกระเป๋าหาของใช้ต่าง ๆ
ในกระเป๋ามีสเปรย์ที่ผมเอาติดไว้ตลอดเพราะแพ้กลิ่นอับ
กุฏิไม้เก่า ๆ มันมีกลิ่นความชื้นเฉพาะตัว ผมเลยฉีดเบา ๆ ตรงมุมห้อง
กลิ่นมันช่วยให้หัวไม่หนักเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรเลย
แต่หลังจากฉีดไปได้ไม่ถึง 5 วินาที
ผมรู้สึกเหมือนลมด้านนอก “หยุดพัด”
กุฏิที่เสียงหน้าต่างดังเกือบทั้งวัน… เงียบสนิทแบบผิดปกติ
เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดัง ตุ้บ… ตุ้บ…
🛕 ตีสอง: เณรที่มายืนหน้ากุฏิ
ผมคงเผลอหลับไปเพราะความเพลีย
จนมาสะดุ้งตอนตีสองกว่า จากเสียงใครบางคน
เคาะประตูกุฏิช้า ๆ
ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…
ตอนแรกผมคิดว่าพระอาจารย์มาเรียก
แต่พอเงี่ยหูฟังให้ดี เสียงมันเบาเหมือนเด็กเล็ก ๆ มากกว่า
ผมหันไปดูที่ช่องประตูด้านล่าง (ช่องที่แสงลอดเข้ามาได้)
เห็น “เงาของเด็กตัวเล็ก” ยืนอยู่หน้าประตู
จากประสบการณ์ ผมไม่อยากคิดอะไรไกล
ผมเลยถามออกไปว่า
“มีธุระอะไรครับเณร?”
แล้วเสียงเด็กพูดกลับมาเบา ๆ ว่า
“โยม… เปิดให้หน่อย”
น้ำเสียงนั้น เรียบ… ไม่มีความรู้สึก
จนรู้สึกขนลุกแปลก ๆ
ผมลังเลว่าจะเปิดดีไหม แต่บางทีเณรอาจปวดท้องหรือมีงานด่วน
เลยเดินไปใกล้ประตู
แต่พอผมเอื้อมมือจะเปิด…
ช่องแสงด้านล่างไม่เห็นเงาเด็กแล้วครับ
ทั้งที่ผมยังไม่ได้เปิด
มัน… หายไปเฉย ๆ
🌑 กลางลานวัด: สิ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์
ผมเริ่มไม่ค่อยโอเค
เลยตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูว่ามีเด็กวิ่งไปทางไหน
ลานวัดตอนกลางคืนมันเงียบมาก
มีแค่ไฟสีส้มตรงเสาไฟ 2 – 3 จุด
พระอุโบสถเก่าอยู่ไกลออกไป
ลานกว้าง ๆ ว่างเปล่า ลมเบา ๆ พัดใบโพธิ์ดัง ซ่าาา
ตอนนั้นเอง…
ผมเห็น “เด็กห่มจีวร” ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่
หน้าหันมาทางผมพอดี
แต่สิ่งที่ทำผมช็อกคือ
เณรคนนั้น “สูงเท่าผู้ใหญ่”
และขาเขาไม่แตะพื้น
เขายืนลอยเฉย ๆ ใต้ต้นโพธิ์
ในท่าตรงนิ่งเหมือนถูกแขวน
ผมยืนตัวชา ใจเต้นแรงจนเวียนหัว
มือสั่นจนรู้สึกหายใจไม่ออก
ผมเผลอค้นในกระเป๋ากางเกง หยิบของอะไรก็ได้ขึ้นมา
กลายเป็นสเปรย์อันเดิมที่หยิบติดมือไปตอนเดินออกมา
ผมไม่ได้มีเจตนาพิธีกรรมอะไร
แค่กำลัง “ต้องการทำอะไรสักอย่าง”
เลยฉีดออกไปด้านหน้าเพราะมือมันสั่น
เรื่องมันประหลาดมาก…
เพราะทันทีที่ละอองสเปรย์ลอยออกไป
เสียงใบโพธิ์ที่ดังซ่า ๆ หยุดทันที
ลานวัดกลับมา เงียบ…สนิท…
และสิ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ก็ “ค่อย ๆ หายไปราวกับมองทะลุอากาศได้”
ผมยืนเหงื่อท่วมทั้งตัว
ก่อนรีบเดินกลับกุฏิแบบไม่มองซ้ายขวาเลย
🌘 เช้า: คำพูดของหลวงตา
ตื่นเช้ามาผมเลยไปกราบหลวงตา เล่าเหตุการณ์ให้ท่านฟังแบบระมัดระวัง
หลวงตายิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า
“เมื่อคืนโยมอยู่คนเดียว เขามักจะมาเล่นด้วย
เด็กที่ตายในวัดเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
แต่เขามาเฉพาะกับคนที่กลิ่นอับทำให้ไม่สบายใจ… เขาอยากให้คนอยู่ในวัดรู้สึกสบาย”
ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัว
เพราะเมื่อคืนก่อนจะเจอเหตุการณ์ทั้งหมด
ผมเพิ่งฉีดสเปรย์ในกุฏิให้จมูกโล่ง…
หลวงตายังพูดต่อว่า
“เขาไม่อันตรายหรอก แต่ชอบมาเรียกโยมที่เขาได้กลิ่นเหมือนเขาเมื่อก่อน”
ผมถามว่า “กลิ่นแบบไหนครับหลวงตา?”
หลวงตายิ้มแล้วตอบว่า
“กลิ่นอับน่ะโยม… กลิ่นที่ศพเด็กสมัยก่อนเขาเจอบ่อย ๆ ในกุฏิเก่า”
ผมตัวชาไปเลยครับ…
ตั้งแต่วันนั้น ไม่ว่าค้างวัดไหน ผมจะฉีดตรงมุมห้องก่อนทุกครั้ง
ไม่ใช่เพราะกันผี
แต่…
เพราะผมไม่อยากให้ “เขา” มารอเรียกหน้าประตูตอนตีสองอีกเลย
“เณรเรียกผมตอนตีสอง… ทั้งที่วัดนั้นไม่มีเณรอยู่แล้ว”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณสองเดือนก่อน ผมกลับบ้านต่างจังหวัด แล้วตั้งใจไปค้างที่วัดใกล้บ้านเพื่อถือศีลแปดกับแม่หนึ่งคืน
วัดนี้เป็นวัดเก่า อายุเป็นร้อยปี อยู่กลางทุ่งนา เงียบมาก ทั้งวัดคืนหนึ่งจะมีอยู่แค่พระ 2 องค์กับโยมที่ค้างไม่กี่คน
คิดว่าตอนแรกตัวเองจะได้ความสงบ
แต่สิ่งที่ผมได้… มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ
🌫️ ค่ำแรก: ความเงียบที่ไม่ใช่ความสงบ
กุฏิที่ให้ผมค้างอยู่ติดป่าละเมาะด้านข้างวัด
เป็นกุฏิไม้เก่า มีหน้าต่างบานเกร็ดที่ลมพัดแล้วเสียงดัง แกร๊ก ๆ ๆ
ผมเข้าไปปูเสื่อ เปิดกระเป๋าหาของใช้ต่าง ๆ
ในกระเป๋ามีสเปรย์ที่ผมเอาติดไว้ตลอดเพราะแพ้กลิ่นอับ
กุฏิไม้เก่า ๆ มันมีกลิ่นความชื้นเฉพาะตัว ผมเลยฉีดเบา ๆ ตรงมุมห้อง
กลิ่นมันช่วยให้หัวไม่หนักเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรเลย
แต่หลังจากฉีดไปได้ไม่ถึง 5 วินาที
ผมรู้สึกเหมือนลมด้านนอก “หยุดพัด”
กุฏิที่เสียงหน้าต่างดังเกือบทั้งวัน… เงียบสนิทแบบผิดปกติ
เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดัง ตุ้บ… ตุ้บ…
🛕 ตีสอง: เณรที่มายืนหน้ากุฏิ
ผมคงเผลอหลับไปเพราะความเพลีย
จนมาสะดุ้งตอนตีสองกว่า จากเสียงใครบางคน
เคาะประตูกุฏิช้า ๆ
ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…
ตอนแรกผมคิดว่าพระอาจารย์มาเรียก
แต่พอเงี่ยหูฟังให้ดี เสียงมันเบาเหมือนเด็กเล็ก ๆ มากกว่า
ผมหันไปดูที่ช่องประตูด้านล่าง (ช่องที่แสงลอดเข้ามาได้)
เห็น “เงาของเด็กตัวเล็ก” ยืนอยู่หน้าประตู
จากประสบการณ์ ผมไม่อยากคิดอะไรไกล
ผมเลยถามออกไปว่า
“มีธุระอะไรครับเณร?”
แล้วเสียงเด็กพูดกลับมาเบา ๆ ว่า
“โยม… เปิดให้หน่อย”
น้ำเสียงนั้น เรียบ… ไม่มีความรู้สึก
จนรู้สึกขนลุกแปลก ๆ
ผมลังเลว่าจะเปิดดีไหม แต่บางทีเณรอาจปวดท้องหรือมีงานด่วน
เลยเดินไปใกล้ประตู
แต่พอผมเอื้อมมือจะเปิด…
ช่องแสงด้านล่างไม่เห็นเงาเด็กแล้วครับ
ทั้งที่ผมยังไม่ได้เปิด
มัน… หายไปเฉย ๆ
🌑 กลางลานวัด: สิ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์
ผมเริ่มไม่ค่อยโอเค
เลยตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูว่ามีเด็กวิ่งไปทางไหน
ลานวัดตอนกลางคืนมันเงียบมาก
มีแค่ไฟสีส้มตรงเสาไฟ 2 – 3 จุด
พระอุโบสถเก่าอยู่ไกลออกไป
ลานกว้าง ๆ ว่างเปล่า ลมเบา ๆ พัดใบโพธิ์ดัง ซ่าาา
ตอนนั้นเอง…
ผมเห็น “เด็กห่มจีวร” ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่
หน้าหันมาทางผมพอดี
แต่สิ่งที่ทำผมช็อกคือ
เณรคนนั้น “สูงเท่าผู้ใหญ่”
และขาเขาไม่แตะพื้น
เขายืนลอยเฉย ๆ ใต้ต้นโพธิ์
ในท่าตรงนิ่งเหมือนถูกแขวน
ผมยืนตัวชา ใจเต้นแรงจนเวียนหัว
มือสั่นจนรู้สึกหายใจไม่ออก
ผมเผลอค้นในกระเป๋ากางเกง หยิบของอะไรก็ได้ขึ้นมา
กลายเป็นสเปรย์อันเดิมที่หยิบติดมือไปตอนเดินออกมา
ผมไม่ได้มีเจตนาพิธีกรรมอะไร
แค่กำลัง “ต้องการทำอะไรสักอย่าง”
เลยฉีดออกไปด้านหน้าเพราะมือมันสั่น
เรื่องมันประหลาดมาก…
เพราะทันทีที่ละอองสเปรย์ลอยออกไป
เสียงใบโพธิ์ที่ดังซ่า ๆ หยุดทันที
ลานวัดกลับมา เงียบ…สนิท…
และสิ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ก็ “ค่อย ๆ หายไปราวกับมองทะลุอากาศได้”
ผมยืนเหงื่อท่วมทั้งตัว
ก่อนรีบเดินกลับกุฏิแบบไม่มองซ้ายขวาเลย
🌘 เช้า: คำพูดของหลวงตา
ตื่นเช้ามาผมเลยไปกราบหลวงตา เล่าเหตุการณ์ให้ท่านฟังแบบระมัดระวัง
หลวงตายิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า
“เมื่อคืนโยมอยู่คนเดียว เขามักจะมาเล่นด้วย
เด็กที่ตายในวัดเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
แต่เขามาเฉพาะกับคนที่กลิ่นอับทำให้ไม่สบายใจ… เขาอยากให้คนอยู่ในวัดรู้สึกสบาย”
ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัว
เพราะเมื่อคืนก่อนจะเจอเหตุการณ์ทั้งหมด
ผมเพิ่งฉีดสเปรย์ในกุฏิให้จมูกโล่ง…
หลวงตายังพูดต่อว่า
“เขาไม่อันตรายหรอก แต่ชอบมาเรียกโยมที่เขาได้กลิ่นเหมือนเขาเมื่อก่อน”
ผมถามว่า “กลิ่นแบบไหนครับหลวงตา?”
หลวงตายิ้มแล้วตอบว่า
“กลิ่นอับน่ะโยม… กลิ่นที่ศพเด็กสมัยก่อนเขาเจอบ่อย ๆ ในกุฏิเก่า”
ผมตัวชาไปเลยครับ…
ตั้งแต่วันนั้น ไม่ว่าค้างวัดไหน ผมจะฉีดตรงมุมห้องก่อนทุกครั้ง
ไม่ใช่เพราะกันผี
แต่…
เพราะผมไม่อยากให้ “เขา” มารอเรียกหน้าประตูตอนตีสองอีกเลย