โมเมนต์ที่เริ่มไม่ต้องพูด…แต่เข้าใจกัน

หลังจากวันนั้นที่เราคุยเปิดใจกัน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแบบแปลกดีครับ
คือ…เราไม่ได้สนิทโจ่งแจ้งเหมือนก่อน แต่กลับ “ใกล้กันมากขึ้น” ในแบบที่คนอื่นดูไม่ออก แต่ผมรู้สึกได้ทุกวินาที
📌 โมเมนต์ที่เริ่มไม่ต้องพูด…แต่เข้าใจกัน
วันหนึ่งผมเครียดงานจนแทบระเบิด นั่งงม Excel 8 แท็บแล้วโปรแกรมยังค้างใส่เฉย
ผมคงทำหน้าเหมือนคนแพ้ชีวิต น้องเดินผ่านมาแล้วเหมือนจะไม่คุยนะ เพราะมีคนอยู่แถวนั้น
แต่น้องวางโพสต์อิทไว้ที่โต๊ะผม 1 แผ่น ตอนเดินผ่านไป
เขียนว่า
“สู้นะคะพี่ วันนี้พี่เก่งแล้ว เหลือนิดเดียวเอง ✌️”
แค่กระดาษเล็ก ๆ แผ่นนั้น…ทำให้ผมสดชื่นกว่ากาแฟทั้งแก้ว
คือมันไม่ได้หวือหวา แต่มันโคตรรู้สึกดี
เย็นวันนั้นผมก็เลยเดินไปซื้อน้ำเก๊กฮวยร้านใต้ตึกที่น้องชอบ
วางไว้โต๊ะน้องแล้วตีเนียนบอกว่า
“ซื้อมาแล้วคิดว่าน้องชอบ เลยเอามาเผื่อ”
น้องยิ้มเขิน ๆ แล้วพูดเบา ๆ ว่า
“ขอบคุณนะคะพี่”
ข้างหลังมีรุ่นพี่ในทีมยืนอยู่ ผมเลยทำเป็นเฉย ๆ แต่ในใจคือตะโกนดีใจจนปอดแตก 555

📌 โมเมนต์แอบห่วงที่ทำหัวใจผมไปไกลกว่าเดิม
วันหนึ่งน้องไอหนักมากครับ แบบไอจนผมเป็นห่วง
แต่เพราะไม่อยากให้คนอื่นจับตา ผมก็พยายามทำตัวปกติ
แต่ตอนน้องเดินกลับโต๊ะหลังประชุมนั้น…น้องวางถุงอะไรสักอย่างไว้บนโต๊ะผมแบบเร็วมาก
เป็นถุงใส่บาล์มสมุนไพรหอม ๆ
ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับที่เขาใช้ที่คลินิกแถวบิ๊กซีราชดำริที่ผมไปประจำ (ผมนี่ยิ้มออกมาเลย แอบคิดว่า “รู้ทันอีก”)
ที่สำคัญคือ…มีโน้ตอีกแล้ว
“เผื่อช่วยบรรเทาไหล่ตึงนะคะ 😊”
ตอนนั้นผมนี่แทบอยากเดินไปหาน้องแล้วบอกว่า
“น้องนี่แหละตัวบรรเทาของพี่”
แต่กลัวโดน HR เรียกเข้าห้องครับ ต้องรักษาภาพไว้ก่อน 555

📌 แต่เรื่องที่ทำให้ผมใจเต้นที่สุด อยู่ในวันที่ผมไม่ได้ตั้งตัวเลย
คืนนั้นผมทำงานโอที นั่งทำสรุปเอกสารจนสำนักงานโล่ง
อยู่ดี ๆ ก็มีข้อความเด้งขึ้นจากไลน์กลุ่มบริษัทว่า
“พรุ่งนี้ CEO จะเดินตรวจแผนกตอนเช้า เตรียมตัวด้วย”
ผมนี่เครียดเลย เพราะโต๊ะผมรกเหมือนห้องเก็บของย่อย ๆ
แต่ยังไม่ทันบ่นอะไร โทรศัพท์ผมก็สั่น
เป็นข้อความส่วนตัวจากน้อง
“พี่อยู่บริษัทใช่ไหมคะ หนูเห็นไฟโต๊ะพี่เปิดอยู่”
ผมตอบว่า
“ใช่ พี่เคลียร์งานแป๊บ”
ไม่ถึง 10 นาที…
เสียงลิฟต์ดัง “ติ้ง”
น้องเดินออกมาพร้อมถุงใหญ่หนึ่งถุง
“หนูเห็นว่าพี่โต๊ะรก หนูเลยเอาทิชชู่เปียกกับถุงขยะมาให้ค่ะ จะได้เก็บไว ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้โดนเจ้านายดุ”
ผมนี่อึ้งไปเลยครับ
คือมันดึกมากแล้ว น้องกลับหอไปได้นานแล้ว
แต่น้องเดินลงมาชั้นออฟฟิศ เพื่อเอาของให้ผม
ตอนนั้นผมมองน้องแล้วแบบ…
“ทำไมคนคนนี้ถึงน่ารักได้ขนาดนี้วะ”
ผมเก็บโต๊ะจนเสร็จ น้องก็นั่งรอที่โซฟาหน้าออฟฟิศเพราะอยากลงลิฟต์พร้อมกัน (แต่ตีเนียนว่า “กลัวลิฟต์ตอนกลางคืน”)
ตอนรอ ผมเผลอหลุดถามออกไปว่า
“แล้ว…เราจะมีวันที่ไม่ต้องแอบแบบนี้ไหม”
น้องเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนตอบว่า
“มีค่ะ ถ้าพี่ไม่หายไปก่อน”
ประโยคนั้นคือจุดที่ทำผมอยากจับมือน้องมากที่สุด แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มกลับไป

📌 และวันนั้น…มันเกิดโมเมนต์ที่ผมจำไม่ลืม
ตอนเดินไปถึงลานจอดรถ
น้องยื่นสเปรย์คลายเมื่อยแบบขนาดเล็กให้ผม แล้วบอกว่าเบา ๆ
“ไว้ใช้ก่อนนอนนะคะ พี่สะพายกระเป๋าหนักจนไหล่ล้าเลย”
แล้วน้องก็เดินขึ้นรถเมล์ไป
ผมยืนยิ้มคนเดียวในลานจอดรถแบบคนบ้าอยู่พักหนึ่งเลยครับ

ตอนนี้ระยะห่างระหว่างเรามันเหมือน “ค่อย ๆ หดลงทีละนิด”
ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้เปิดเผย
แต่ทุกการกระทำมันชัดเจนมากกว่าแค่รุ่นพี่กับเด็กฝึกงาน
ทุกวันผมตื่นไปทำงานด้วยความรู้สึกว่า…
“วันนี้จะมีโมเมนต์เล็ก ๆ อะไรให้ใจพองอีกนะ”
และผมกำลังคิดอยู่ว่า
ถ้าถึงเวลาที่ใช่จริง ๆ
ผมอยากบอกน้องว่า…
“เราลองเริ่มในที่ที่ไม่ต้องกลัวคำเม้าท์แล้วดีไหม”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่