สถาณการณ์ตอนนี้จะไม่ติดตามเลยก็เป็นไปไม่ได้ ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต
แต่มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้คน คือ การสื่อสาร เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่สงบ ความสามารถในการเชื่อมต่อ จะเป็นการโทรหากันผ่านโทรศัพท์หรือการสื่อสารผ่านโซเชียลออนไลน์โดยการใช้เน็ตมือถือ ที่ทำให้คนในพื้นที่ได้ประสานงานได้ทันเหตุการณ์ และทำให้ประชาชนในศูนย์พักพิงต่างๆ ยังได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา ไว้ติดตามข่าวสารอีกด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจที่ กองทัพภาคที่ 2 ออกมาแสดงความขอบคุณต่อ True และ กสทช. ที่ลงพื้นที่สนับสนุนการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมศูนย์พักพิงชั่วคราวใน 6 จังหวัดชายแดน ทันทีที่สถานการณ์เริ่มปะทุ
การสนับสนุนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียง “งานด้านเทคนิค” แต่สะท้อนถึงบทบาทของภาคเอกชนที่ตระหนักว่า ความมั่นคงของประเทศ
ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพฝ่ายเดียว หากแต่เป็นภารกิจร่วมของทุกภาคส่วนที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี โครงข่าย และคนทำงานหลังบ้านจำนวนมากที่ขับเคลื่อนให้ทุกอย่างไม่หยุดชะงัก
มันแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านสื่อสารที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน สามารถเป็น เครื่องมือด้านมนุษยธรรม ได้ในยามวิกฤต
ไม่ต่างจากอาหาร ยา หรือที่พักพิง
สุดท้าย ภารกิจครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการเปิดสัญญาณ แต่เป็นการเปิดความมั่นใจให้ผู้คนในพื้นที่เสี่ยง ได้รู้ว่ายังมีสายใยสื่อสารที่คอยรองรับพวกเขาให้ได้ใช้งานติดต่อสื่อสารกับญาติ พี่น้อง หรือไว้ติดตามข่าวสาร
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.facebook.com/PrArmy2/posts/pfbid036AFyLQoCx2aJaq2gr38bt9foLsDpK4SZdKLT9w7ke2Emx1YX5ixGnQN8RxkAhZbUl
สัญญาณเล็ก ๆ แต่มีความหมายใหญ่ บนพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา
แต่มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้คน คือ การสื่อสาร เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่สงบ ความสามารถในการเชื่อมต่อ จะเป็นการโทรหากันผ่านโทรศัพท์หรือการสื่อสารผ่านโซเชียลออนไลน์โดยการใช้เน็ตมือถือ ที่ทำให้คนในพื้นที่ได้ประสานงานได้ทันเหตุการณ์ และทำให้ประชาชนในศูนย์พักพิงต่างๆ ยังได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา ไว้ติดตามข่าวสารอีกด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจที่ กองทัพภาคที่ 2 ออกมาแสดงความขอบคุณต่อ True และ กสทช. ที่ลงพื้นที่สนับสนุนการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมศูนย์พักพิงชั่วคราวใน 6 จังหวัดชายแดน ทันทีที่สถานการณ์เริ่มปะทุ
การสนับสนุนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียง “งานด้านเทคนิค” แต่สะท้อนถึงบทบาทของภาคเอกชนที่ตระหนักว่า ความมั่นคงของประเทศ
ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพฝ่ายเดียว หากแต่เป็นภารกิจร่วมของทุกภาคส่วนที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี โครงข่าย และคนทำงานหลังบ้านจำนวนมากที่ขับเคลื่อนให้ทุกอย่างไม่หยุดชะงัก
มันแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านสื่อสารที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน สามารถเป็น เครื่องมือด้านมนุษยธรรม ได้ในยามวิกฤต
ไม่ต่างจากอาหาร ยา หรือที่พักพิง
สุดท้าย ภารกิจครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการเปิดสัญญาณ แต่เป็นการเปิดความมั่นใจให้ผู้คนในพื้นที่เสี่ยง ได้รู้ว่ายังมีสายใยสื่อสารที่คอยรองรับพวกเขาให้ได้ใช้งานติดต่อสื่อสารกับญาติ พี่น้อง หรือไว้ติดตามข่าวสาร
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.facebook.com/PrArmy2/posts/pfbid036AFyLQoCx2aJaq2gr38bt9foLsDpK4SZdKLT9w7ke2Emx1YX5ixGnQN8RxkAhZbUl