“ ชีวิตสโลไลฟ์หลังเกษียณในชนบท มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่” (กรณีตัวอย่างที่ญี่ปุ่น)

หลังเกษียณ โชอิจิ (68) และฮิโรมิ (67) พ่อแม่ของคานะ ยามาดะ (40, นามแฝง) ตัดสินใจย้ายจากโตเกียวไปอยู่เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของคันโต เพื่อทำตามความฝันในการใช้ชีวิตแบบ “ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติ” ทั้งสองซื้อบ้านร้างอายุ 50 ปีในราคาถูกและรีโนเวทใหม่ด้วยเงินบำนาญบางส่วน ตั้งใจใช้ชีวิตเรียบง่ายในบ้านหลังใหญ่ พร้อมสวนผักที่อยากปลูกไว้จิบกาแฟยามเช้า พวกเขามีรายได้จากเงินบำนาญประมาณเดือนละ 200,000 เยน ไม่มีภาระค่าบ้านหรือค่าเช่า และค่าครองชีพในชนบทต่ำ จึงเชื่อว่าจะอยู่ได้อย่างสบาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อคานะกลับมาเยี่ยมบ้านครั้งแรกในรอบหกเดือน เธอกลับพบภาพที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง บ้านภายในมืดสลัว สวนรกด้วยวัชพืชสูงเกือบถึงเข่า ระเบียงไม้ที่เคยใหม่กลับเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ แม่บอกว่าช่วงนี้ปวดหลังมาก การกำจัดวัชพืชจึงทำได้ยาก ภายในบ้านยังหนาวเย็น เพราะทั้งคู่พยายามประหยัดน้ำมันก๊าดที่ราคาแพงขึ้น ทำให้เปิดเครื่องทำความร้อนน้อยลง ไฟบางส่วนก็เริ่มดับหรือเสื่อมสภาพ

นอกจากสภาพบ้าน ความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับชุมชนก็ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แม่เล่าว่าตอนแรกยังทักทายกับคนในหมู่บ้าน แต่สำเนียงท้องถิ่นที่ฟังยากและความแตกต่างด้านอายุทำให้รู้สึกห่างเหิน พ่อยอมรับว่าหลังเกษียณก็มีนิสัยไม่ค่อยเข้าสังคมเหมือนเดิม การขาดปฏิสัมพันธ์สังคมอย่างกะทันหันดูจะส่งผลกับทั้งสองคน

สิ่งที่ทำให้คานะกังวลมากที่สุดคือปัญหา การเดินทางและการรักษาพยาบาล แม้พ่อแม่เคยบอกว่า “มีรถก็ไม่เป็นไร” แต่ตอนนี้มีเพียงพ่อที่ยังขับรถได้ และสายตาของเขาก็เริ่มเสื่อม ทำให้ทั้งคู่แทบออกไปซื้อของได้เพียงสัปดาห์ละครั้ง ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ที่สุดอยู่ห่าง 15 นาทีโดยรถยนต์ และโรงพยาบาลทั่วไปใกล้ที่สุดต้องขับรถกว่า 30 นาที ปัจจุบันแม่ลดการพบแพทย์สำหรับโรคเรื้อรังเหลือเพียงเดือนละครั้ง

ตามรายงานของกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว เรื่อง “สถานะปัจจุบันของระบบขนส่งสาธารณะในภูมิภาค” ระบุว่า การดูแลระบบขนส่งในพื้นที่ชนบททำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่พึ่งรถยนต์ส่วนตัว เมื่อไม่สามารถขับรถได้ การจัดหาการเดินทางกลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการซื้อของ การไปพบแพทย์ และการทำธุรกรรมของรัฐแทบจะต้องใช้รถยนต์ทั้งหมด

แม่พูดด้วยความรู้สึกหนักใจว่า
“เราทำงานหนักมากเพื่อซื้อบ้าน ฉันทิ้งไปเฉยๆ ไม่ได้หรอก”

แม้ว่าบ้านจะกว้างและมีธรรมชาติสวยงาม แต่ชีวิตกลับเงียบเหงา และไม่มีเพื่อนบ้านให้พูดคุย ทำให้ชีวิตหลังเกษียณที่หวังไว้ค่อยๆ กลายเป็นชีวิตที่โดดเดี่ยวและเปราะบาง

หลังกลับโตเกียว คานะเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับบริการสนับสนุนผู้สูงอายุ เช่น ระบบติดตามผู้สูงอายุ บริการในชุมชน และพื้นที่ที่มีการแพทย์ทางไกล แม้เธอเคารพความต้องการของพ่อแม่ที่อยากอยู่บ้านเดิม แต่เธอเริ่มคิดถึงการเสริมระบบสนับสนุนในพื้นที่ หรือแม้แต่การหาบ้านเช่าในโตเกียวให้พวกเขา โดยยอมรับว่า “ท้ายที่สุด เราอาจต้องให้พ่อแม่ย้ายมาอยู่ใกล้เรา”

บทความสะท้อนว่าการย้ายไปชนบทไม่ใช่เรื่องผิดเสมอ ผู้สูงอายุจำนวนมากปรับตัวได้และมีความสุข แต่การใช้ชีวิตหลังเกษียณให้ “เป็นจริง” ได้ ต้องอาศัยทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ความเชื่อมโยงทางสังคม สุขภาพ และระบบสนับสนุนรอบด้าน มิฉะนั้น “อุดมคติ” อาจกลายเป็นความโดดเดี่ยวได้อย่างง่ายดาย การออกแบบบ้านและสวนจึงไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ แต่ต้องรวมถึงระบบที่ช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตประจำวันได้

อ่านเรื่องนี้จบ ในมุมมองของแม่ปิ๋วจากประสบการณ์ที่เจอที่บ้านนอก ถ้าย้ายอยู่ชนบท ควรเป็นที่ที่คุ้นเคย เข่นบ้านเกิด คนรู้จัก รึญาติพี่น้อง มันทำให้เราปรับตัวไม่ยาก

อีกอย่าง ต้องตระหนักว่า ถ้าเป็นคนเมืองมาทั้งชีวิต การอยู่บ้านนอก อาจจะไม่เหมาะ(บางคน) เพราะบ้านนอก ความสดวกสบายไม่เท่าเมืองใหญ่ และรถเป็นสิ่งจำเป็นมาก ญี่ปุ่นเห็นชัดเลย บ้านหลังป่าหลังเขา ไม่มีรถคือชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอก ฝนตก ดินถล่มที ไปช่วยลำบาก แก่มากๆ ขับรถยาก สายตาไม่ดี ต้องคิดเผื่อตรงนี้ด้วยจริงๆ

กับการอยู่บ้านหลังใหญ่เห็นมาเยอะ สุดท้ายอยคแค่ที่นอนกับคลานไปห้องส้วม ห้องอื่นๆ ปล่อยไว้งั้น  

ส่วนบ้านนอกที่ไทยยังมีระบบอสม ตามหมู่บ้าน ยังมีความเป็นชุมชนสูงยังพอช่วยกันดูแลได้
#ชีวิตในญี่ปุ่น #เกษียณอายุ #ญี่ปุ่น #คนไทยในญี่ปุ่น

CR https://www.facebook.com/share/1EiC4Qw7ra/?mibextid=wwXIfr
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่