แล้วศตวรรษที่ 21 ก็เปิดฉากขึ้น..เป็นการเปิดฉากศตวรรษใหม่ที่เต็มไปด้วยความก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยมีมนุษย์ในช่วงเวลาใดๆ เสมอเหมือน
โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีที่ยังคงต่อยอดจากทศวรรษก่อน นํามาสู่การก่อตั้งบริษัทใหม่ในทศวรรษนี้
Facebook ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2004
ในหอพักมหาวิทยาลัย Harvard สหรัฐอเมริกา Mark Zuckerberg พร้อมกับ เพื่อนอีก 4 คน กําลังคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ เริ่มต้นจาก ไม่กี่ร้อยคนในมหาวิทยาลัย ก่อนจะกลายมาเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มี ผู้ใช้หลายพันล้านคนทั่วโลก
Twitter ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2006
หลังจากออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน ได้ ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคําว่า Tweet ซึ่ง แปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทิ้งไว้จากทศวรรษก่อนก็คือการเก็งกําไรในธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี แต่เมื่อความคาดหวังนั้นสูงเกินไป และกําไรของบริษัทเติบโตไม่ทัน ในปี ค.ศ. 2000 จึงเกิดเป็นวิกฤติที่เรียกว่า ฟองสบู่ดอตคอม.. ตลาดหุ้น Nasdaq เริ่มถูกเทขายอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ปี
ในวันที่ 9 ต.ค. 2002 Nasdaq ทําจุดต่ำสุดที่ 1,114 จุด หรือลดลง 78% จากจุดสูงสุด และมูลค่าตลาดได้หายไปกว่า 165 ล้านล้านบาท ปลายปี ค.ศ. 2000 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed)
จึงรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อผ่อนคลายทางการเงินและในวันที่ 11 กันยายน ปี ค.ศ. 2001 เกิดเหตุการณ์ก่อการร้าย เครื่องบิน พุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ฉุดให้เศรษฐกิจ และตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาที่ย่ําแย่อยู่แล้วยิ่งเจอเรื่องซ้ำเติม
Fed จึงทําการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร่งด่วน
เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2000 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 6.50%
เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2001 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 2.50%
เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2003 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 1.00%
ขณะเดียวกันทางฝั่งทวีปยุโรป ตลาดหุ้นของเยอรมนีก็ร่วงแรงไม่แพ้ตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาในยุโรปไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
การรวมกลุ่มกันของกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ที่เรียกว่า สหภาพยุโรป (European Union vs EU)
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกันทั้งในด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ มีการประกาศใช้เงินสกุลเดียวกัน คือ สกุลเงินยูโร (Euro) อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1999
หลังจากนั้น สหภาพยุโรปมีการรับสมาชิกใหม่
ซึ่งล้วนเป็นประเทศในยุโรปตะวันออกเพิ่มอีก 10 ประเทศ ในปี ค.ศ. 2004 และอีก 2 ประเทศ ในปี ค.ศ. 2007 ทําให้สหภาพยุโรปมีสมาชิกเพิ่มเป็น 27 ประเทศ ในจํานวนนี้ มีประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร หรือเรียกว่า ยูโรโซน (Eurozone) จํานวน 19 ประเทศ
นอกจากจะใช้สกุลเงินร่วมกัน ประเทศเหล่านี้ยังตกลงว่าจะใช้นโยบาย การเงินร่วมกันด้วย ซึ่งถูกกําหนดโดย ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank, ECB) ในนครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อเศรษฐกิจของเยอรมนีย่ำแย่เพราะฟองสบู่ดอตคอม ธนาคารกลางยุโรปจึงได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2000 อัตราดอกเบี้ย ECB อยู่ที่ 4.75% เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2003 อัตราดอกเบี้ย ECB อยู่ที่ 2.00% การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปจึงมีผลต่อทั้ง 19 ประเทศในยูโรโซนด้วย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง 19 ประเทศ ล้วนมีระดับเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เมื่อ ECB ลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนี อีกหลายๆ ประเทศที่ไม่ได้มีปัญหาเศรษฐกิจกลับได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วย จึงกลายเป็นว่าไปกระตุ้นฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะ ไอร์แลนด์ สเปน อิตาลี และกรีซ
ในช่วงต้นทศวรรษ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความสดใส ราคา สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากการขยายตัวจากการบริโภคของ
ชาวจีน
ประเทศจีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี ค.ศ. 2001 นําไปสู่การขยายตัวของการลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อที่จะเป็น “โรงงานของโลก” โดยอาศัยความได้เปรียบในแง่ของต้นทุนวัตถุดิบ และค่าแรงที่ถูกกว่า
ประกอบกับการที่จีนต้องเตรียมการเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงปักกิ่ง ในปี ค.ศ. 2008 ทําให้มีการลงทุนก่อสร้างต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้ง อาคารที่พัก สนามกีฬา ปรับปรุงถนนหนทาง และสร้างเครือข่ายรถไฟ
เมื่อรวมกับการมีประชากรจํานวนมหาศาลกว่า 1,300 ล้านคน ประเทศจีนจึงกลายเป็นผู้นําเข้าสินค้าโภคภัณฑ์หลักของโลก ผลักดันให้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งเหล็ก ถ่านหิน ยางพารา และน้ํามันดิบ ราคาพุ่งทะยาน และส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไปทั่วโลก
สหรัฐอเมริกาก็ต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเช่นกันและวิธีที่ธนาคารกลางจะใช้เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ก็คือ “การขึ้นดอกเบี้ย”
เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2004 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 1.52% เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2006 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 5.25% อย่างไรก็ตาม ราคาน้ํามันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงพุ่งสูงไม่หยุด อัตราเงินเฟ้อในปี ค.ศ. 2007 ก็พุ่งขึ้นมาอีก พร้อมๆ กับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เป็นต้นมาจนถึงระดับ 98.2% ของ GDP สหรัฐอเมริกาช่วงปี ค.ศ. 2007 ถึง ค.ศ. 2008 นี้เองที่สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกามี ปัญหาอย่างหนัก วาณิชธนกิจใหญ่อย่าง เลแมนบราเดอร์ส (Lehman Brothers) แบร์ สเทิร์น (Bear Sterns) เมอร์ริล ลินช์ (Merrill Lynch) ไปจนถึงสถาบันการเงินอื่น เช่น เอไอจี (AIG) ก็ประสบปัญหาด้วยเช่นกัน
สถาบันการเงินต่างๆ ล้มตามกันเหมือนโดมิโน
GDP สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ
โดยประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุดในปี ค.ศ. 2009 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าในปี ค.ศ. 2018 ได้แก่
สหรัฐอเมริกา 535.1 ล้านล้านบาท
ญี่ปุ่น 194.1 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐประชาชนจีน 189.9 ล้านล้านบาท
เยอรมนี 127.1 ล้านล้านบาท
ฝรั่งเศส 100.2 ล้านล้านบาท
ในปลายปี ค.ศ. 2008 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจึงได้ทําการลดอัตรา ดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามแก้ไขสถานการณ์เดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2008 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 0.12%
เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรปเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2008 อัตราดอกเบี้ย ECB อยู่ที่ 2.50%
แต่การลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่อาจลดผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจได้ ยังมีบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งที่ประสบปัญหาขาดทุน แต่อยู่ในสถานะที่ใหญ่เกินกว่าที่จะล้มได้
จนเกิดวลีว่า “Too Big To Fail”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่ธนาคารกลางใช้เงินจํานวนมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ QE
ตอนที่ 24 วิกฤติซับไพร์ม ค.ศ.2000-2009
โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีที่ยังคงต่อยอดจากทศวรรษก่อน นํามาสู่การก่อตั้งบริษัทใหม่ในทศวรรษนี้
Facebook ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2004
ในหอพักมหาวิทยาลัย Harvard สหรัฐอเมริกา Mark Zuckerberg พร้อมกับ เพื่อนอีก 4 คน กําลังคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ เริ่มต้นจาก ไม่กี่ร้อยคนในมหาวิทยาลัย ก่อนจะกลายมาเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มี ผู้ใช้หลายพันล้านคนทั่วโลก
Twitter ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2006
หลังจากออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน ได้ ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคําว่า Tweet ซึ่ง แปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทิ้งไว้จากทศวรรษก่อนก็คือการเก็งกําไรในธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี แต่เมื่อความคาดหวังนั้นสูงเกินไป และกําไรของบริษัทเติบโตไม่ทัน ในปี ค.ศ. 2000 จึงเกิดเป็นวิกฤติที่เรียกว่า ฟองสบู่ดอตคอม.. ตลาดหุ้น Nasdaq เริ่มถูกเทขายอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ปี
ในวันที่ 9 ต.ค. 2002 Nasdaq ทําจุดต่ำสุดที่ 1,114 จุด หรือลดลง 78% จากจุดสูงสุด และมูลค่าตลาดได้หายไปกว่า 165 ล้านล้านบาท ปลายปี ค.ศ. 2000 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed)
จึงรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อผ่อนคลายทางการเงินและในวันที่ 11 กันยายน ปี ค.ศ. 2001 เกิดเหตุการณ์ก่อการร้าย เครื่องบิน พุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ฉุดให้เศรษฐกิจ และตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาที่ย่ําแย่อยู่แล้วยิ่งเจอเรื่องซ้ำเติม
Fed จึงทําการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร่งด่วน
เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2000 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 6.50%
เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2001 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 2.50%
เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2003 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 1.00%
ขณะเดียวกันทางฝั่งทวีปยุโรป ตลาดหุ้นของเยอรมนีก็ร่วงแรงไม่แพ้ตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาในยุโรปไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
การรวมกลุ่มกันของกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ที่เรียกว่า สหภาพยุโรป (European Union vs EU)
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกันทั้งในด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ มีการประกาศใช้เงินสกุลเดียวกัน คือ สกุลเงินยูโร (Euro) อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1999
หลังจากนั้น สหภาพยุโรปมีการรับสมาชิกใหม่
ซึ่งล้วนเป็นประเทศในยุโรปตะวันออกเพิ่มอีก 10 ประเทศ ในปี ค.ศ. 2004 และอีก 2 ประเทศ ในปี ค.ศ. 2007 ทําให้สหภาพยุโรปมีสมาชิกเพิ่มเป็น 27 ประเทศ ในจํานวนนี้ มีประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร หรือเรียกว่า ยูโรโซน (Eurozone) จํานวน 19 ประเทศ
นอกจากจะใช้สกุลเงินร่วมกัน ประเทศเหล่านี้ยังตกลงว่าจะใช้นโยบาย การเงินร่วมกันด้วย ซึ่งถูกกําหนดโดย ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank, ECB) ในนครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อเศรษฐกิจของเยอรมนีย่ำแย่เพราะฟองสบู่ดอตคอม ธนาคารกลางยุโรปจึงได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2000 อัตราดอกเบี้ย ECB อยู่ที่ 4.75% เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2003 อัตราดอกเบี้ย ECB อยู่ที่ 2.00% การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปจึงมีผลต่อทั้ง 19 ประเทศในยูโรโซนด้วย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง 19 ประเทศ ล้วนมีระดับเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เมื่อ ECB ลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนี อีกหลายๆ ประเทศที่ไม่ได้มีปัญหาเศรษฐกิจกลับได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วย จึงกลายเป็นว่าไปกระตุ้นฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะ ไอร์แลนด์ สเปน อิตาลี และกรีซ
ในช่วงต้นทศวรรษ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความสดใส ราคา สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากการขยายตัวจากการบริโภคของ
ชาวจีน
ประเทศจีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี ค.ศ. 2001 นําไปสู่การขยายตัวของการลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อที่จะเป็น “โรงงานของโลก” โดยอาศัยความได้เปรียบในแง่ของต้นทุนวัตถุดิบ และค่าแรงที่ถูกกว่า
ประกอบกับการที่จีนต้องเตรียมการเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงปักกิ่ง ในปี ค.ศ. 2008 ทําให้มีการลงทุนก่อสร้างต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้ง อาคารที่พัก สนามกีฬา ปรับปรุงถนนหนทาง และสร้างเครือข่ายรถไฟ
เมื่อรวมกับการมีประชากรจํานวนมหาศาลกว่า 1,300 ล้านคน ประเทศจีนจึงกลายเป็นผู้นําเข้าสินค้าโภคภัณฑ์หลักของโลก ผลักดันให้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งเหล็ก ถ่านหิน ยางพารา และน้ํามันดิบ ราคาพุ่งทะยาน และส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไปทั่วโลก
สหรัฐอเมริกาก็ต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเช่นกันและวิธีที่ธนาคารกลางจะใช้เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ก็คือ “การขึ้นดอกเบี้ย”
เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2004 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 1.52% เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2006 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 5.25% อย่างไรก็ตาม ราคาน้ํามันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงพุ่งสูงไม่หยุด อัตราเงินเฟ้อในปี ค.ศ. 2007 ก็พุ่งขึ้นมาอีก พร้อมๆ กับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เป็นต้นมาจนถึงระดับ 98.2% ของ GDP สหรัฐอเมริกาช่วงปี ค.ศ. 2007 ถึง ค.ศ. 2008 นี้เองที่สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกามี ปัญหาอย่างหนัก วาณิชธนกิจใหญ่อย่าง เลแมนบราเดอร์ส (Lehman Brothers) แบร์ สเทิร์น (Bear Sterns) เมอร์ริล ลินช์ (Merrill Lynch) ไปจนถึงสถาบันการเงินอื่น เช่น เอไอจี (AIG) ก็ประสบปัญหาด้วยเช่นกัน
สถาบันการเงินต่างๆ ล้มตามกันเหมือนโดมิโน
GDP สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ
โดยประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุดในปี ค.ศ. 2009 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าในปี ค.ศ. 2018 ได้แก่
สหรัฐอเมริกา 535.1 ล้านล้านบาท
ญี่ปุ่น 194.1 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐประชาชนจีน 189.9 ล้านล้านบาท
เยอรมนี 127.1 ล้านล้านบาท
ฝรั่งเศส 100.2 ล้านล้านบาท
ในปลายปี ค.ศ. 2008 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจึงได้ทําการลดอัตรา ดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามแก้ไขสถานการณ์เดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2008 อัตราดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 0.12%
เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรปเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2008 อัตราดอกเบี้ย ECB อยู่ที่ 2.50%
แต่การลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่อาจลดผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจได้ ยังมีบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งที่ประสบปัญหาขาดทุน แต่อยู่ในสถานะที่ใหญ่เกินกว่าที่จะล้มได้
จนเกิดวลีว่า “Too Big To Fail”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่ธนาคารกลางใช้เงินจํานวนมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ QE