ถามตรง-ตอบจริง: “วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่น” ภูมิคุ้มกันอยู่นานแค่ไหน? ต้องพ่นซ้ำบ่อยแค่ไหน?


หลังจากทราบแล้วว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก (Nasal Spray) มีจุดเด่นเรื่อง “ภูมิขึ้นไวใน 7 วัน” และ “ไม่ต้องเจ็บตัว” คำถามสำคัญต่อมาที่คุณพ่อคุณแม่และนักเดินทางมักถามหมอที่ รพ.วิชัยเวชฯ หนองแขม คือ…

( “พ่นไปครั้งเดียว ภูมิจะอยู่นานไหม? จะหายไปเร็วกว่าแบบฉีดหรือเปล่า? หรือต้องไปพ่นซ้ำอีกเมื่อไหร่?” 4

คำตอบคือ “สบายใจได้ครับ ภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานครอบคลุมตลอดฤดูกาล” แต่อยู่ได้นานแค่ไหนและเพราะอะไร เรามีข้อมูลทางการแพทย์มายืนยัน

1. ระยะเวลาคุ้มครอง: “อยู่ได้นานประมาณ 1 ปี” (เท่ากับแบบฉีด)

มาตรฐานทางการแพทย์ระบุว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั้ง “แบบฉีด” และ “แบบพ่น” ถูกออกแบบมาให้มีระยะเวลาการป้องกันโรค (Duration of Protection) ครอบคลุม ตลอดฤดูกาลระบาดของปีนั้นๆ (ประมาณ 6-12 เดือน)
ดังนั้น การพ่นจมูกเพียง 1 ครั้งในเดือนนี้ ไม่เพียงแค่ป้องกันสำหรับทริปญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย ยาวไปจนถึงช่วงฤดูฝนหน้าเลยทีเดียว

2. ความพิเศษของแบบพ่น: สร้าง “ความจำ” ให้ระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า?

มีข้อมูลที่น่าสนใจจากงานวิจัยพบว่า เนื่องจากวัคซีนแบบพ่นจมูกเป็น “เชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์” (Live Attenuated) กลไกการทำงานของมันจึงเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ

สิ่งนี้ส่งผลให้ร่างกายไม่เพียงสร้างแอนติบอดี (Antibody) เท่านั้น แต่ยังกระตุ้น “เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell” ซึ่งทำหน้าที่เป็น “เซลล์ความจำ (Memory Cells)” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานวิจัยระบุว่า: การกระตุ้น T-cell นี้อาจช่วยให้ภูมิคุ้มกันจากแบบพ่น มีความคงทน (Persistence) และสามารถป้องกันเชื้อได้ยาวนานกว่าแบบฉีดในบางกรณี โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่เคยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่มาก่อน

3. ถ้าอยู่นานเป็นปี ทำไมต้องรับวัคซีน “ทุกปี”?

หลายท่านสงสัยว่า ถ้าภูมิคุ้มกันอยู่ได้นาน ทำไมปีหน้าต้องมาพ่น/ฉีดใหม่? เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะ “ยาหมดฤทธิ์” อย่างเดียว แต่เป็นเพราะ “เชื้อโรคหน้าเปลี่ยน” (Viral Mutation)

เชื้อไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์เปลี่ยนหน้าตาไปทุกปี ภูมิคุ้มกันที่เรามีจากปีนี้ อาจจะจำหน้าคนร้ายในปีหน้าไม่ได้ ดังนั้น องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงต้องอัปเดตสายพันธุ์วัคซีนใหม่ทุกปี เพื่อให้ตรงกับเชื้อที่ระบาด

สรุปคำแนะนำ: ครั้งเดียวจบ ครบทั้งปี

สำหรับการเตรียมตัวไปญี่ปุ่น หรือการป้องกันทั่วไปในปีนี้ การรับวัคซีนแบบพ่นจมูก “เพียง 1 ครั้ง” ถือว่าเพียงพอแล้ว

✅ ระยะสั้น: ภูมิขึ้นไวทันใจ ทันใช้ก่อนบิน
✅ ระยะยาว: ภูมิคงอยู่ต่อเนื่อง คุ้มครองลูกหลานไปจนถึงปีหน้า

ไม่ต้องกังวลว่าภูมิจะหายไปกลางทาง มั่นใจได้ในมาตรฐานการป้องกันระดับสากล
เปรียบเทียบ

แบบพ่นจมูก (Nasal Spray)
วิธีการรับวัคซีน - พ่นเข้าโพรงจมูก (ข้างละ 1 ที)
ความเจ็บ - ไม่เจ็บ (แค่รู้สึกเหมือนมีน้ำในจมูก)
อายุที่แนะนำ - 2 – 49 ปี
ชนิดของวัคซีน - เชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ (Live Attenuated)
ระยะเวลาภูมิคุ้มกัน - 1 ปี (ตลอดฤดูกาล)
จุดเด่น - ภูมิขึ้นไว, กระตุ้นภูมิที่เยื่อบุทางเดินหายใจโดยตรง
แบบฉีด (Injection)
วิธีการรับวัคซีน - ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (ต้นแขน)
ความเจ็บ - เจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
อายุที่แนะนำ - 6 เดือนขึ้นไป – ผู้สูงอายุ
ชนิดของวัคซีน - เชื้อตาย (Inactivated)
ระยะเวลาภูมิคุ้มกัน - 1 ปี (ตลอดฤดูกาล)
จุดเด่น - ใช้ได้กับคนทุกกลุ่ม รวมถึงหญิงตั้งครรภ์

เช็กด่วน! ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับวัคซีน “แบบพ่น”?

แม้แบบพ่นจะสะดวกและไม่เจ็บ แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิด “เชื้อเป็น” จึงมีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่มที่ไม่แนะนำให้ใช้ครับ (กลุ่มเหล่านี้แนะนำให้ใช้ แบบฉีด แทน จะปลอดภัยกว่า)

❌ เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี หรือ ผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป
❌ หญิงตั้งครรภ์
❌ ผู้ที่มี โรคหอบหืด หรือมีอาการหายใจเสียงหวีด (Wheezing) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (โดยเฉพาะในเด็ก 2-4 ขวบ)
❌ ผู้ที่มี ภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด, ผู้ติดเชื้อ HIV)
❌ ผู้ที่แพ้ “ไข่ไก่” อย่างรุนแรง (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ)
❌ เด็กที่กำลังรับประทานยาแอสไพริน หรือยาในกลุ่มซาลิไซเลต

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น (ไม่ต้องตกใจ)

อาการหลังรับวัคซีนเป็นเรื่องปกติที่แสดงว่าร่างกายกำลังสร้างภูมิคุ้มกัน ส่วนใหญ่อาการจะน้อยมากและหายเองได้ภายใน 1-2 วันครับ

แบบพ่น: อาจมีอาการคัดจมูก, น้ำมูกไหล, เจ็บคอเล็กน้อย หรือมีไข้ต่ำๆ
แบบฉีด: อาจมีอาการปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีด หรือปวดเมื่อยตัวเล็กน้อย

คำถามยอดฮิต (FAQ) ที่คนมักสงสัย

Q: ช่วงที่เป็นหวัด มีน้ำมูก ไปพ่นวัคซีนได้ไหม?
A: แนะนำให้ “รอหายดีก่อน” ครับ หากมีอาการคัดจมูกมาก อาจทำให้ยาดูดซึมได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเป็นหวัดเล็กน้อยไม่มีไข้ สามารถปรึกษาแพทย์หน้างานได้ครับ

Q: พ่นจมูกแล้วเผลอ “จาม” ออกมา ต้องพ่นซ้ำไหม?
A: “ไม่ต้องพ่นซ้ำครับ” ตัวยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกอย่างรวดเร็ว การจามเล็กน้อยหลังพ่นไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพลดลงครับ

Q: ฉีดกับพ่น อันไหนดีกว่ากัน?
A: ในแง่ประสิทธิภาพการป้องกัน “ถือว่าทัดเทียมกัน” ครับ (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์เชื้อในปีนั้นๆ) การเลือกจึงขึ้นอยู่กับความสมัครใจ หากกลัวเข็ม หรือเป็นเด็กวัย 2-49 ปี แบบพ่นก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากครับ

เอกสารอ้างอิง (References)
Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Seasonal Influenza Vaccine Supply & Distribution. (ระบุว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี ทั้งแบบฉีดและแบบพ่น ออกแบบมาให้ใช้ปีละ 1 ครั้ง – Annual Vaccination)
Hoft DF, et al. Live and Inactivated Influenza Vaccines Induce Distinct T-Cell Responses in Humans. The Journal of Infectious Diseases. 2011;204(6):845–853. (งานวิจัยที่ชี้ว่าวัคซีนแบบพ่น กระตุ้น T-cell response ได้ดีและยาวนาน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของ Cellular Immunity)
Forrest, B. D., et al. Correlation of cellular immune responses with protection against culture-confirmed influenza virus in young children. Clinical and Vaccine Immunology. 2008. (ศึกษาความสัมพันธ์ของภูมิคุ้มกันระดับเซลล์กับระยะเวลาการป้องกันโรคในเด็ก)

ติดตามสาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพดี ๆ ได้ที่ > รพ.วิชัยเวชฯ หนองแขม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่