สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากมาเล่าหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านแล้วรู้สึกเหมือนโดนจับเขย่าหัวเบา ๆ 555
เป็นหนังสือชื่อ
“เมื่อรู้ว่าสิ่งของคือภาระ”
ตอนแรกเห็นชื่อก็คิดว่า เออ ก็คงแนวจัดบ้าน ลดของ อะไรประมาณนั้นแหละ ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ แต่พออ่านจริง ๆ มันไม่ใช่หนังสือลดของครับ แต่เป็นหนังสือที่เปลี่ยนมุมมองทั้งเรื่องสิ่งของ ความสัมพันธ์ งาน และภาระชีวิตแบบที่เราไม่ค่อยตั้งคำถามกับมัน
อยากมาเล่าเผื่อมีใครสนใจ หรืออยากลองถามตัวเองเหมือนที่ผมได้ถามตอนอ่าน
📌 หนังสือเริ่มจากคำถามง่าย ๆ แต่สะกิดแรงมากว่า
“ของทุกชิ้นในชีวิต…เราต้องดูแล มันเลยเป็นภาระหมดแหละ แล้วเรารับมันเข้ามาทำไม?”
ตอนอ่านถึงประโยคนี้ ผมนิ่งไปเลย เพราะไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน
เรามักคิดแค่ว่า “ซื้อเพราะอยากได้”
แต่ไม่เคยคิดว่า “ซื้อแล้วต้องดูแลไปอีกกี่ปี”
เช่น…
ซื้อโทรศัพท์ใหม่ → ต้องคอยชาร์จ เคลียร์ไฟล์ เคลียร์แอป ดูแลแบต
ซื้อโต๊ะทำงาน → ต้องคอยเช็ด ต้องคอยจัดให้ไม่รก
มีรถ → ผ่อน ซ่อม ล้าง เปลี่ยนน้ำมัน
คือมันไม่ใช่ของชิ้นเดียวแล้วจบ แต่กลายเป็นงานเพิ่มทีละนิด ๆ แบบที่เราไม่ค่อยรู้ตัว
พออ่านปุ๊บ สิ่งแรกที่ผมนึกคือ…
"จริงว่ะ ของที่เรามี ไม่ได้ฟรีเลย แม้จะหมดค่าผ่อนไปแล้วก็ตาม"
📌 หนังสือพูดถึงภาระในชีวิตแบบที่ไม่ใช่แค่ “ของ” แต่รวมถึง “คนและความสัมพันธ์” ด้วย
อันนี้กระแทกใจมากกกกก
หนังสือให้เรามองความสัมพันธ์ให้เหมือนของในบ้าน
คือถามตัวเองว่า…
เราต้องดูแลความสัมพันธ์นี้มากแค่ไหน?
มันทำให้เราต้องเหนื่อยเพิ่มหรือจี๊ดในใจบ่อยไหม?
เวลาอยู่ด้วย เราเหมือนได้พลังหรือโดนดูดพลัง?
มันไม่ได้ให้ตัดใครทิ้งนะครับ แต่ให้เรารู้ระยะว่า
ใครควรอยู่ใกล้แค่ไหน…เพื่อที่เราจะไม่เหนื่อยเกินไป
ผมว่าประโยคนี้โคตรจริงสำหรับคนยุคนี้
เพื่อนบางคนดีนะ แต่คุยกันนาน ๆ แล้วใจวุ่น
บางคนไม่ได้สนิทมาก แต่คุยแล้วเบาสบาย
บางคนเป็นครอบครัวด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่คุยคือแบกเพิ่มหนึ่งกระสอบ
หนังสือทำให้ผมกล้าตั้งคำถามว่า
“ความสัมพันธ์นี้เราโอเคจริงไหม หรือทนเพราะเกรงใจเฉย ๆ?”
อยากถามเพื่อน ๆ ในนี้ด้วยว่า
คุณมีคนแบบนี้มั้ย ที่ไม่ได้เกลียดแต่แค่รู้สึกเหนื่อยเวลาอยู่ด้วย?
📌 อีกอย่างที่ชอบคือมันทำให้ผมคิดว่า…
“การมีเยอะ ไม่ได้เท่ากับการมีชีวิตที่ดี”
ก่อนหน้านี้ผมเป็นแบบซื้อไว้ก่อน เดี๋ยวได้ใช้
เก็บไว้ก่อน เผื่อจำเป็น
แต่พอมีเยอะขึ้น กลายเป็นว่าใช้ไม่ทัน เก็บไม่ไหว และสายตาก็รำคาญความรกไปหมด
หนังสือบอกว่า
ของที่ไม่ได้ใช้ = ของที่กินพื้นที่สมองเราฟรี ๆ
จริงมากกกก
เดินผ่านก็รู้สึกผิด
เห็นแล้วก็คิดว่า “เดี๋ยวต้องจัดนะ”
แต่ไม่ได้จัดสักที
กลายเป็นความรู้สึกติดค้างอยู่ในหัวโดยไม่รู้ตัว
ผมลองเริ่มเก็บห้องใหม่ตามแนวคิดนี้
ไม่ใช่แค่ทิ้ง แต่มองก่อนว่า
“อันไหนที่ต้องดูแล อันไหนที่ไม่อยากดูแลแล้ว”
แค่คิดแบบนี้ ห้องก็โล่งขึ้นแบบงง ๆ
เพราะมันไม่ได้เริ่มจากความเสียดาย
แต่มาจากความเข้าใจว่า
ยิ่งของเยอะ = ยิ่งต้องดูแลเยอะ = ยิ่งหนักใจเยอะ
เลยอยากถามทุกคนว่า
คุณมีของที่ไม่ได้ใช้แต่ยังเก็บเพราะ “เสียดาย” ไหม? แล้วเคยรู้สึกว่ามันเบียดหัวใจเราอยู่เงียบ ๆ มั้ย?
📌 หนังสือยังมีแนวคิด “ก่อนรับอะไรเข้ามา ถาม 3 ข้อ”
ตรงนี้โคตรได้ใช้ในชีวิตจริง คือถามว่า…
1️⃣ สิ่งนี้ทำให้ชีวิตหนักขึ้นไหม?
2️⃣ ฉันต้องดูแลมันมากแค่ไหน?
3️⃣ มันคุ้มกับพลังชีวิตของฉันไหม?
อ่านแล้วรู้สึกว่า ไม่น่าจะเรียบง่ายกว่านี้แล้ว
แต่โคตรมีผลกับการตัดสินใจในชีวิตเลย
ตอนนี้เวลาจะซื้ออะไร ผมถามตัวเองแบบเร็ว ๆ
คำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่คุ้ม”
เลยรอดจากการเสียเงินไปเยอะมาก 555
และไม่ได้ใช้กับของอย่างเดียว
แต่ใช้กับงานและคนได้ด้วย เช่น
งานนี้เพิ่มภาระหรือให้โอกาส?
คบกับคนนี่แล้วชีวิตสงบหรือสั่น?
ความคาดหวังนี้เราอยากแบกหรือแค่เกรงใจ?
ผมลองใช้ประมาณสองสัปดาห์ ชีวิตเบาขึ้นแบบจับต้องได้
เลยอยากถามในนี้ว่า…
ถ้าใช้คำถามสามข้อนี้กับชีวิตตอนนี้ คุณคิดว่าสิ่งไหนควรถูกวางลงก่อน?
📌 หนังสือไม่ได้ชวนให้ “ใช้ชีวิตแบบมีน้อยที่สุด” แต่ชวนให้ “มีเท่าที่ไม่ทำลายใจเรา”
อันนี้ต่างจากมินิมอลทั่วไปตรงนี้
หนังสือไม่ได้บังคับให้ทิ้ง ไม่ได้บอกให้เป็นคนมีน้อย
มันแค่สอนให้เลือกภาระที่ “เรายอมแบกแบบเต็มใจ”
บางอย่างหนักแต่คุ้ม
บางอย่างเบาแต่รกใจ
บางอย่างดูเล็ก ๆ แต่ต้องดูแลตลอดเวลา
บางอย่างช่วยชีวิตมากกว่าที่คิด
หนังสือทำให้ผมเห็นชัดว่า
ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ว่าง แต่เป็นชีวิตที่ “ทุกอย่างมีที่ของมัน”
📌 ส่วนตัวรู้สึกว่าเล่มนี้เหมาะกับ…
คนที่รู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้เหนื่อยแบบไม่รู้สาเหตุ
คนที่บ้านรก ของเยอะ แต่ไม่รู้จะเริ่มจัดจากตรงไหน
คนที่กำลังโดนความคาดหวังคนนู้นคนนี้กดทับ
คนที่อยากทำให้ใจสงบกว่านี้
คนที่ชอบถามตัวเองว่า “เราต้องการอะไรกันแน่”
คนที่อยากใช้ชีวิตฉลาดขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะ
หรือใครที่รู้สึกว่าชีวิตมันแน่นไปหมด แบบไม่มีที่ให้หายใจ
เล่มนี้ช่วยได้จริง ๆ ไม่ได้โม้
คือมันไม่ได้สอนให้ทิ้งของ
แต่มันสอนให้
รู้จักเลือกสิ่งที่ควรอยู่ ต่างหาก
📌 สุดท้าย อยากชวนคุยกันหน่อย
หนังสือทำให้ผมได้ตั้งคำถามที่อยากเอามาให้ทุกคนลองคิดตามดู…
🌟 ถ้าต้องเลือกสิ่งหนึ่งในชีวิตตอนนี้ ที่อยาก “วางลง” เพื่อให้ชีวิตเบาขึ้น คุณจะเลือกอะไร?
🌟 ของชิ้นไหนในบ้านที่คุณรู้ว่าไม่ได้ใช้ แต่ยังเก็บเพราะเสียดาย?
🌟 มีความสัมพันธ์ไหนที่คุณเหนื่อย แต่ยังฝืนเพราะกลัวอีกฝ่ายเสียใจ?
🌟 ถ้าคุณเริ่มมองทุกอย่างเป็นภาระที่ต้องดูแล คุณคิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปยังไง?
ตอบอะไรก็ได้ครับ อยากอ่านมุมมองของแต่ละคน
เผื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ เหมือนที่ผมได้จากการอ่านเล่มนี้
📌 สรุปสั้น ๆ แบบคนอ่านจริง
หนังสือ
“เมื่อรู้ว่าสิ่งของคือภาระ”
เป็นเล่มที่ทำให้ผมเห็นว่าความวุ่นวายในชีวิตหลายอย่าง
ไม่ได้เกิดจากโลกภายนอก
แต่เกิดจากสิ่งที่เรา “รับเข้ามาเอง”
ถ้าเรารู้จักเลือกให้ดี ตั้งคำถามก่อนจะรับ
และกล้าวางสิ่งที่ไม่ได้มีความหมายแล้ว
ชีวิตมันจะเบาและสงบขึ้นแบบไม่ต้องพยายามเยอะเลย
ใครกำลังเหนื่อย ๆ อยากให้ลองหยิบมาอ่านครับ
ถ้าไม่ใช่หนังสือในแบบที่ชอบ ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าใช่…อาจกลายเป็นเล่มที่ทำให้คุณหายใจได้โล่งขึ้นจริง ๆ
ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกยังไง หรือมีเล่มอื่นที่คล้าย ๆ กัน แนะนำได้เลยนะครับ ผมชอบอ่านแนวนี้มาก 😊
ซื้อและทดลองอ่านฟรีได้ที่
https://www.hytexts.com/ebook/b6cf2241-fa41-446a-a4a0-5dbdcc144ab7
มีใครเคยรู้สึกไหม… ว่าของรอบตัวมันกินพลังเรามากกว่าที่คิด?
เป็นหนังสือชื่อ “เมื่อรู้ว่าสิ่งของคือภาระ”
ตอนแรกเห็นชื่อก็คิดว่า เออ ก็คงแนวจัดบ้าน ลดของ อะไรประมาณนั้นแหละ ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ แต่พออ่านจริง ๆ มันไม่ใช่หนังสือลดของครับ แต่เป็นหนังสือที่เปลี่ยนมุมมองทั้งเรื่องสิ่งของ ความสัมพันธ์ งาน และภาระชีวิตแบบที่เราไม่ค่อยตั้งคำถามกับมัน
อยากมาเล่าเผื่อมีใครสนใจ หรืออยากลองถามตัวเองเหมือนที่ผมได้ถามตอนอ่าน
📌 หนังสือเริ่มจากคำถามง่าย ๆ แต่สะกิดแรงมากว่า
“ของทุกชิ้นในชีวิต…เราต้องดูแล มันเลยเป็นภาระหมดแหละ แล้วเรารับมันเข้ามาทำไม?”
ตอนอ่านถึงประโยคนี้ ผมนิ่งไปเลย เพราะไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน
เรามักคิดแค่ว่า “ซื้อเพราะอยากได้”
แต่ไม่เคยคิดว่า “ซื้อแล้วต้องดูแลไปอีกกี่ปี”
เช่น…
ซื้อโทรศัพท์ใหม่ → ต้องคอยชาร์จ เคลียร์ไฟล์ เคลียร์แอป ดูแลแบต
ซื้อโต๊ะทำงาน → ต้องคอยเช็ด ต้องคอยจัดให้ไม่รก
มีรถ → ผ่อน ซ่อม ล้าง เปลี่ยนน้ำมัน
คือมันไม่ใช่ของชิ้นเดียวแล้วจบ แต่กลายเป็นงานเพิ่มทีละนิด ๆ แบบที่เราไม่ค่อยรู้ตัว
พออ่านปุ๊บ สิ่งแรกที่ผมนึกคือ…
"จริงว่ะ ของที่เรามี ไม่ได้ฟรีเลย แม้จะหมดค่าผ่อนไปแล้วก็ตาม"
📌 หนังสือพูดถึงภาระในชีวิตแบบที่ไม่ใช่แค่ “ของ” แต่รวมถึง “คนและความสัมพันธ์” ด้วย
อันนี้กระแทกใจมากกกกก
หนังสือให้เรามองความสัมพันธ์ให้เหมือนของในบ้าน
คือถามตัวเองว่า…
เราต้องดูแลความสัมพันธ์นี้มากแค่ไหน?
มันทำให้เราต้องเหนื่อยเพิ่มหรือจี๊ดในใจบ่อยไหม?
เวลาอยู่ด้วย เราเหมือนได้พลังหรือโดนดูดพลัง?
มันไม่ได้ให้ตัดใครทิ้งนะครับ แต่ให้เรารู้ระยะว่า
ใครควรอยู่ใกล้แค่ไหน…เพื่อที่เราจะไม่เหนื่อยเกินไป
ผมว่าประโยคนี้โคตรจริงสำหรับคนยุคนี้
เพื่อนบางคนดีนะ แต่คุยกันนาน ๆ แล้วใจวุ่น
บางคนไม่ได้สนิทมาก แต่คุยแล้วเบาสบาย
บางคนเป็นครอบครัวด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่คุยคือแบกเพิ่มหนึ่งกระสอบ
หนังสือทำให้ผมกล้าตั้งคำถามว่า
“ความสัมพันธ์นี้เราโอเคจริงไหม หรือทนเพราะเกรงใจเฉย ๆ?”
อยากถามเพื่อน ๆ ในนี้ด้วยว่า
คุณมีคนแบบนี้มั้ย ที่ไม่ได้เกลียดแต่แค่รู้สึกเหนื่อยเวลาอยู่ด้วย?
📌 อีกอย่างที่ชอบคือมันทำให้ผมคิดว่า…
“การมีเยอะ ไม่ได้เท่ากับการมีชีวิตที่ดี”
ก่อนหน้านี้ผมเป็นแบบซื้อไว้ก่อน เดี๋ยวได้ใช้
เก็บไว้ก่อน เผื่อจำเป็น
แต่พอมีเยอะขึ้น กลายเป็นว่าใช้ไม่ทัน เก็บไม่ไหว และสายตาก็รำคาญความรกไปหมด
หนังสือบอกว่า
ของที่ไม่ได้ใช้ = ของที่กินพื้นที่สมองเราฟรี ๆ
จริงมากกกก
เดินผ่านก็รู้สึกผิด
เห็นแล้วก็คิดว่า “เดี๋ยวต้องจัดนะ”
แต่ไม่ได้จัดสักที
กลายเป็นความรู้สึกติดค้างอยู่ในหัวโดยไม่รู้ตัว
ผมลองเริ่มเก็บห้องใหม่ตามแนวคิดนี้
ไม่ใช่แค่ทิ้ง แต่มองก่อนว่า
“อันไหนที่ต้องดูแล อันไหนที่ไม่อยากดูแลแล้ว”
แค่คิดแบบนี้ ห้องก็โล่งขึ้นแบบงง ๆ
เพราะมันไม่ได้เริ่มจากความเสียดาย
แต่มาจากความเข้าใจว่า
ยิ่งของเยอะ = ยิ่งต้องดูแลเยอะ = ยิ่งหนักใจเยอะ
เลยอยากถามทุกคนว่า
คุณมีของที่ไม่ได้ใช้แต่ยังเก็บเพราะ “เสียดาย” ไหม? แล้วเคยรู้สึกว่ามันเบียดหัวใจเราอยู่เงียบ ๆ มั้ย?
📌 หนังสือยังมีแนวคิด “ก่อนรับอะไรเข้ามา ถาม 3 ข้อ”
ตรงนี้โคตรได้ใช้ในชีวิตจริง คือถามว่า…
1️⃣ สิ่งนี้ทำให้ชีวิตหนักขึ้นไหม?
2️⃣ ฉันต้องดูแลมันมากแค่ไหน?
3️⃣ มันคุ้มกับพลังชีวิตของฉันไหม?
อ่านแล้วรู้สึกว่า ไม่น่าจะเรียบง่ายกว่านี้แล้ว
แต่โคตรมีผลกับการตัดสินใจในชีวิตเลย
ตอนนี้เวลาจะซื้ออะไร ผมถามตัวเองแบบเร็ว ๆ
คำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่คุ้ม”
เลยรอดจากการเสียเงินไปเยอะมาก 555
และไม่ได้ใช้กับของอย่างเดียว
แต่ใช้กับงานและคนได้ด้วย เช่น
งานนี้เพิ่มภาระหรือให้โอกาส?
คบกับคนนี่แล้วชีวิตสงบหรือสั่น?
ความคาดหวังนี้เราอยากแบกหรือแค่เกรงใจ?
ผมลองใช้ประมาณสองสัปดาห์ ชีวิตเบาขึ้นแบบจับต้องได้
เลยอยากถามในนี้ว่า…
ถ้าใช้คำถามสามข้อนี้กับชีวิตตอนนี้ คุณคิดว่าสิ่งไหนควรถูกวางลงก่อน?
📌 หนังสือไม่ได้ชวนให้ “ใช้ชีวิตแบบมีน้อยที่สุด” แต่ชวนให้ “มีเท่าที่ไม่ทำลายใจเรา”
อันนี้ต่างจากมินิมอลทั่วไปตรงนี้
หนังสือไม่ได้บังคับให้ทิ้ง ไม่ได้บอกให้เป็นคนมีน้อย
มันแค่สอนให้เลือกภาระที่ “เรายอมแบกแบบเต็มใจ”
บางอย่างหนักแต่คุ้ม
บางอย่างเบาแต่รกใจ
บางอย่างดูเล็ก ๆ แต่ต้องดูแลตลอดเวลา
บางอย่างช่วยชีวิตมากกว่าที่คิด
หนังสือทำให้ผมเห็นชัดว่า
ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ว่าง แต่เป็นชีวิตที่ “ทุกอย่างมีที่ของมัน”
📌 ส่วนตัวรู้สึกว่าเล่มนี้เหมาะกับ…
คนที่รู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้เหนื่อยแบบไม่รู้สาเหตุ
คนที่บ้านรก ของเยอะ แต่ไม่รู้จะเริ่มจัดจากตรงไหน
คนที่กำลังโดนความคาดหวังคนนู้นคนนี้กดทับ
คนที่อยากทำให้ใจสงบกว่านี้
คนที่ชอบถามตัวเองว่า “เราต้องการอะไรกันแน่”
คนที่อยากใช้ชีวิตฉลาดขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะ
หรือใครที่รู้สึกว่าชีวิตมันแน่นไปหมด แบบไม่มีที่ให้หายใจ
เล่มนี้ช่วยได้จริง ๆ ไม่ได้โม้
คือมันไม่ได้สอนให้ทิ้งของ
แต่มันสอนให้ รู้จักเลือกสิ่งที่ควรอยู่ ต่างหาก
📌 สุดท้าย อยากชวนคุยกันหน่อย
หนังสือทำให้ผมได้ตั้งคำถามที่อยากเอามาให้ทุกคนลองคิดตามดู…
🌟 ถ้าต้องเลือกสิ่งหนึ่งในชีวิตตอนนี้ ที่อยาก “วางลง” เพื่อให้ชีวิตเบาขึ้น คุณจะเลือกอะไร?
🌟 ของชิ้นไหนในบ้านที่คุณรู้ว่าไม่ได้ใช้ แต่ยังเก็บเพราะเสียดาย?
🌟 มีความสัมพันธ์ไหนที่คุณเหนื่อย แต่ยังฝืนเพราะกลัวอีกฝ่ายเสียใจ?
🌟 ถ้าคุณเริ่มมองทุกอย่างเป็นภาระที่ต้องดูแล คุณคิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปยังไง?
ตอบอะไรก็ได้ครับ อยากอ่านมุมมองของแต่ละคน
เผื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ เหมือนที่ผมได้จากการอ่านเล่มนี้
📌 สรุปสั้น ๆ แบบคนอ่านจริง
หนังสือ “เมื่อรู้ว่าสิ่งของคือภาระ”
เป็นเล่มที่ทำให้ผมเห็นว่าความวุ่นวายในชีวิตหลายอย่าง
ไม่ได้เกิดจากโลกภายนอก
แต่เกิดจากสิ่งที่เรา “รับเข้ามาเอง”
ถ้าเรารู้จักเลือกให้ดี ตั้งคำถามก่อนจะรับ
และกล้าวางสิ่งที่ไม่ได้มีความหมายแล้ว
ชีวิตมันจะเบาและสงบขึ้นแบบไม่ต้องพยายามเยอะเลย
ใครกำลังเหนื่อย ๆ อยากให้ลองหยิบมาอ่านครับ
ถ้าไม่ใช่หนังสือในแบบที่ชอบ ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าใช่…อาจกลายเป็นเล่มที่ทำให้คุณหายใจได้โล่งขึ้นจริง ๆ
ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกยังไง หรือมีเล่มอื่นที่คล้าย ๆ กัน แนะนำได้เลยนะครับ ผมชอบอ่านแนวนี้มาก 😊
ซื้อและทดลองอ่านฟรีได้ที่ https://www.hytexts.com/ebook/b6cf2241-fa41-446a-a4a0-5dbdcc144ab7