TITLE: ชวนดู The Terror (2018) ครับ เรื่องหลอนแบบไม่เน้นตุ้งแช่ เน้นบรรยากาศจนขนลุก!
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาว Pantip สายซีรีส์ทุกคนนะครับ วันนี้ผมมีซีรีส์ดีๆ ที่อยากจะป้ายยาให้ทุกคนไปดูกันครับ ชื่อเรื่องว่า "The Terror" ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2018 ครับ หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเรื่องนี้มาบ้างแล้ว แต่บางคนอาจจะยังลังเลว่าจะกดดูดีไหม ผมบอกเลยว่าถ้าคุณเป็นสายที่ชอบซีรีส์แนวสยองขวัญ แบบที่ไม่ได้เน้นตุ้งแช่ (Jump Scare) โผล่มาให้ตกใจ แต่เน้นสร้างบรรยากาศหลอนๆ กดดันๆ ชวนให้รู้สึกอึดอัด ขนหัวลุกจากความไม่รู้ และความสิ้นหวังจนถึงขีดสุด เรื่องนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ
"The Terror" ภาคแรกนี้ ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ Dan Simmons ครับ เรื่องราวจะพาเราย้อนกลับไปในปี 1847 กับภารกิจอันยิ่งใหญ่และน่าจะโรแมนติกที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การสำรวจของอังกฤษ นั่นก็คือการเดินทางของเรือสองลำคือ HMS Erebus และ HMS Terror เพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือในอาร์กติกที่เรียกว่า Northwest Passage ครับ ภารกิจนี้มีเป้าหมายคือการเปิดเส้นทางการค้าใหม่ แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ไม่ใช่ความสำเร็จหรือชื่อเสียง แต่เป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้น
ตั้งแต่ต้นเรื่อง เราก็จะเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของภารกิจนี้ครับ การเตรียมการที่ดูดี มีความหวัง แต่พอเรือทั้งสองลำต้องติดอยู่ในสภาพน้ำแข็งขั้วโลกที่หนาทึบ จนไม่สามารถขยับไปไหนได้ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงครับ ความหนาวเย็นที่กัดกินร่างกาย ความมืดมิดของยามค่ำคืนที่ยาวนาน ความโดดเดี่ยวที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ บั่นทอนสภาพจิตใจของลูกเรือไปทีละนิด ทีละนิดครับ
สิ่งที่ทำให้ "The Terror" แตกต่างจากซีรีส์สยองขวัญทั่วไปคือ การสร้างความน่ากลัวที่ค่อยเป็นค่อยไปครับ มันไม่ใช่การไล่ล่า หรือผีที่ออกมาอาละวาด แต่เป็นความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย และจากภายในจิตใจของมนุษย์เองครับ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครต่างๆ ที่มาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน บางคนเป็นทหาร บางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ บางคนเป็นคนพื้นเมือง การที่พวกเขาต้องมาติดอยู่ด้วยกันภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ทำให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจนครับ การทะเลาะเบาะแว้ง การแก่งแย่งอำนาจ ความหวาดระแวง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างสมจริง จนเราอินตามไปด้วย
แล้วก็มาถึงองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้ "หลอน" อย่างแท้จริงครับ นั่นก็คือ "เจ้าอสูรกาย" หรือ "The Creature" ที่ตามล่าพวกเขาอยู่ครับ ตัวนี้ไม่ได้ออกมาให้เห็นชัดๆ ตั้งแต่แรกนะครับ มันจะค่อยๆ ปรากฏตัวให้เห็นแค่เงา หรือร่องรอยบางอย่าง สร้างความสงสัย ความไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วมีอะไรอยู่กันแน่ ยิ่งเราไม่รู้ ยิ่งน่ากลัวครับ และเมื่อเราได้เห็นตัวตนของมันจริงๆ ก็ยิ่งขนลุกครับ เพราะมันไม่ใช่ผี หรือสัตว์ประหลาดแบบทั่วไป แต่มันมีความเป็น "ตำนาน" หรือ "เทพนิยาย" ของชาวพื้นเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้เรื่องราวมีมิติมากขึ้นไปอีก
การแสดงของนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ต้องขอชมเลยครับ โดยเฉพาะ Jared Harris ที่รับบทเป็น Captain Francis Crozier และ Tobias Menzies ที่รับบทเป็น Commander James Fitzjames การแสดงของทั้งสองคนถ่ายทอดอารมณ์ความกดดัน ความสิ้นหวัง และการต่อสู้กับปีศาจทั้งภายนอกและภายในได้อย่างยอดเยี่ยมครับ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละครที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ
ภาพและเสียงในเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ครับ การถ่ายทำในสภาพอากาศที่หนาวจัดจริงๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นของอาร์กติกไปด้วย การใช้แสงและเงาที่น้อยๆ ทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด และหลอนมากขึ้น เสียงลม เสียงน้ำแข็งที่แตก เสียงคำรามของเจ้าอสูรกาย ทุกอย่างมันเสริมสร้างประสบการณ์การดูให้สมจริงและน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีกครับ
ผมชอบตรงที่ "The Terror" ไม่ได้พยายามจะอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างแจ้งครับ มันปล่อยให้คนดูตีความ และตั้งคำถามไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความเป็น "ความเชื่อ" และ "วิทยาศาสตร์" ที่ปะทะกัน การเผชิญหน้ากับสิ่งที่เหนือธรรมชาติโดยที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ มันเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ครับ
เรื่องนี้อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนนะครับ ถ้าใครชอบดูอะไรที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หรือมีแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ อาจจะต้องข้ามไปก่อนครับ แต่ถ้าคุณชอบซีรีส์ที่เน้นบรรยากาศกดดันๆ ชวนให้คิดตาม ค่อยๆ บิ้วอารมณ์ให้หลอนจนถึงขีดสุด และชอบเรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์นิดๆ ผสมแฟนตาซีหน่อยๆ ผมแนะนำ "The Terror" ภาคแรกนี้จริงๆ ครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอสรุปว่า "The Terror" (2018) เป็นซีรีส์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอหนังสยองขวัญที่ชอบความลึกซึ้งและบรรยากาศครับ มันคือความหลอนที่แท้จริง ที่จะติดตามคุณไปอีกนานหลังจากดูจบแน่นอนครับ ใครเคยดูแล้ว มาคุยกันได้นะครับ ส่วนใครที่กำลังจะไปดูก็ขอให้สนุกกับการเดินทางอันน่าสะพรึงกลัวในอาร์กติกนะครับ!
ชวนดู The Terror (2018) ครับ เรื่องหลอนแบบไม่เน้นตุ้งแช่ เน้นบรรยากาศจนขนลุก!
TITLE: ชวนดู The Terror (2018) ครับ เรื่องหลอนแบบไม่เน้นตุ้งแช่ เน้นบรรยากาศจนขนลุก!
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาว Pantip สายซีรีส์ทุกคนนะครับ วันนี้ผมมีซีรีส์ดีๆ ที่อยากจะป้ายยาให้ทุกคนไปดูกันครับ ชื่อเรื่องว่า "The Terror" ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2018 ครับ หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเรื่องนี้มาบ้างแล้ว แต่บางคนอาจจะยังลังเลว่าจะกดดูดีไหม ผมบอกเลยว่าถ้าคุณเป็นสายที่ชอบซีรีส์แนวสยองขวัญ แบบที่ไม่ได้เน้นตุ้งแช่ (Jump Scare) โผล่มาให้ตกใจ แต่เน้นสร้างบรรยากาศหลอนๆ กดดันๆ ชวนให้รู้สึกอึดอัด ขนหัวลุกจากความไม่รู้ และความสิ้นหวังจนถึงขีดสุด เรื่องนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ
"The Terror" ภาคแรกนี้ ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ Dan Simmons ครับ เรื่องราวจะพาเราย้อนกลับไปในปี 1847 กับภารกิจอันยิ่งใหญ่และน่าจะโรแมนติกที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การสำรวจของอังกฤษ นั่นก็คือการเดินทางของเรือสองลำคือ HMS Erebus และ HMS Terror เพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือในอาร์กติกที่เรียกว่า Northwest Passage ครับ ภารกิจนี้มีเป้าหมายคือการเปิดเส้นทางการค้าใหม่ แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ไม่ใช่ความสำเร็จหรือชื่อเสียง แต่เป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้น
ตั้งแต่ต้นเรื่อง เราก็จะเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของภารกิจนี้ครับ การเตรียมการที่ดูดี มีความหวัง แต่พอเรือทั้งสองลำต้องติดอยู่ในสภาพน้ำแข็งขั้วโลกที่หนาทึบ จนไม่สามารถขยับไปไหนได้ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงครับ ความหนาวเย็นที่กัดกินร่างกาย ความมืดมิดของยามค่ำคืนที่ยาวนาน ความโดดเดี่ยวที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ บั่นทอนสภาพจิตใจของลูกเรือไปทีละนิด ทีละนิดครับ
สิ่งที่ทำให้ "The Terror" แตกต่างจากซีรีส์สยองขวัญทั่วไปคือ การสร้างความน่ากลัวที่ค่อยเป็นค่อยไปครับ มันไม่ใช่การไล่ล่า หรือผีที่ออกมาอาละวาด แต่เป็นความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย และจากภายในจิตใจของมนุษย์เองครับ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครต่างๆ ที่มาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน บางคนเป็นทหาร บางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ บางคนเป็นคนพื้นเมือง การที่พวกเขาต้องมาติดอยู่ด้วยกันภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ทำให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจนครับ การทะเลาะเบาะแว้ง การแก่งแย่งอำนาจ ความหวาดระแวง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างสมจริง จนเราอินตามไปด้วย
แล้วก็มาถึงองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้ "หลอน" อย่างแท้จริงครับ นั่นก็คือ "เจ้าอสูรกาย" หรือ "The Creature" ที่ตามล่าพวกเขาอยู่ครับ ตัวนี้ไม่ได้ออกมาให้เห็นชัดๆ ตั้งแต่แรกนะครับ มันจะค่อยๆ ปรากฏตัวให้เห็นแค่เงา หรือร่องรอยบางอย่าง สร้างความสงสัย ความไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วมีอะไรอยู่กันแน่ ยิ่งเราไม่รู้ ยิ่งน่ากลัวครับ และเมื่อเราได้เห็นตัวตนของมันจริงๆ ก็ยิ่งขนลุกครับ เพราะมันไม่ใช่ผี หรือสัตว์ประหลาดแบบทั่วไป แต่มันมีความเป็น "ตำนาน" หรือ "เทพนิยาย" ของชาวพื้นเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้เรื่องราวมีมิติมากขึ้นไปอีก
การแสดงของนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ต้องขอชมเลยครับ โดยเฉพาะ Jared Harris ที่รับบทเป็น Captain Francis Crozier และ Tobias Menzies ที่รับบทเป็น Commander James Fitzjames การแสดงของทั้งสองคนถ่ายทอดอารมณ์ความกดดัน ความสิ้นหวัง และการต่อสู้กับปีศาจทั้งภายนอกและภายในได้อย่างยอดเยี่ยมครับ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละครที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ
ภาพและเสียงในเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ครับ การถ่ายทำในสภาพอากาศที่หนาวจัดจริงๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นของอาร์กติกไปด้วย การใช้แสงและเงาที่น้อยๆ ทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด และหลอนมากขึ้น เสียงลม เสียงน้ำแข็งที่แตก เสียงคำรามของเจ้าอสูรกาย ทุกอย่างมันเสริมสร้างประสบการณ์การดูให้สมจริงและน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีกครับ
ผมชอบตรงที่ "The Terror" ไม่ได้พยายามจะอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างแจ้งครับ มันปล่อยให้คนดูตีความ และตั้งคำถามไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความเป็น "ความเชื่อ" และ "วิทยาศาสตร์" ที่ปะทะกัน การเผชิญหน้ากับสิ่งที่เหนือธรรมชาติโดยที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ มันเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ครับ
เรื่องนี้อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนนะครับ ถ้าใครชอบดูอะไรที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หรือมีแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ อาจจะต้องข้ามไปก่อนครับ แต่ถ้าคุณชอบซีรีส์ที่เน้นบรรยากาศกดดันๆ ชวนให้คิดตาม ค่อยๆ บิ้วอารมณ์ให้หลอนจนถึงขีดสุด และชอบเรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์นิดๆ ผสมแฟนตาซีหน่อยๆ ผมแนะนำ "The Terror" ภาคแรกนี้จริงๆ ครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอสรุปว่า "The Terror" (2018) เป็นซีรีส์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอหนังสยองขวัญที่ชอบความลึกซึ้งและบรรยากาศครับ มันคือความหลอนที่แท้จริง ที่จะติดตามคุณไปอีกนานหลังจากดูจบแน่นอนครับ ใครเคยดูแล้ว มาคุยกันได้นะครับ ส่วนใครที่กำลังจะไปดูก็ขอให้สนุกกับการเดินทางอันน่าสะพรึงกลัวในอาร์กติกนะครับ!