Hertz เป็นชื่อที่หลายคนคุ้นเคยกันดีในธุรกิจให้เช่ารถยนต์ระดับโลก กับกองรถEV 🚗ปล่อยเช่าที่เป็นปัญหา

ก็ต้องบอกว่า Hertz เป็นชื่อที่หลายคนคุ้นเคยกันดีในธุรกิจให้เช่ารถยนต์ระดับโลก พวกเขาอยู่ทุกที่ในสนามบินสำคัญ และครั้งหนึ่งเคยมีกองยานพาหนะที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมนี้

แต่ย้อนกลับไปในช่วงปี 2020 เมื่อโลกเผชิญกับการระบาดใหญ่ การเดินทางหยุดชะงัก Hertz ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อรายใหญ่ และต้องยื่นเรื่องขอพิทักษ์ทรัพย์ตามกฎหมายล้มละลาย หรือที่เรียกว่า Chapter 11 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งนับเป็นการล้มลงที่น่าตกใจของยักษ์ใหญ่

มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับพวกเขา แต่ด้วยการจัดการปรับโครงสร้างหนี้ พวกเขาก็สามารถออกจากภาวะ “ล้มละลาย” ได้สำเร็จในปี 2021 พร้อมกับเงินทุนใหม่ และความหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ …

แน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดา พวกเขาไม่ต้องการเป็นแค่บริษัทเช่ารถยนต์ที่กำลังจะล้มละลายแบบเดิม ๆ อีกต่อไป Hertz ต้องการที่จะ “ปฏิวัติ” ตัวเอง และก้าวไปสู่การเป็นผู้นำแห่งยุคใหม่

พวกเขาดึงตัว Mark Fields อดีต CEO ของ Ford เข้ามานำทีม และประกาศพันธกิจที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกธุรกิจ นั่นคือการเดิมพันครั้งใหญ่ใน “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ EV

ในเดือนตุลาคม 2021 Hertz ประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่าจะสั่งซื้อรถยนต์ Tesla จำนวนมากถึง 100,000 คันภายในสิ้นปี 2022 และตามด้วยรถ Polestar อีก 65,000 คัน รวมแล้วเกือบ 200,000 คัน

มันเป็นการ “เดิมพัน” ที่กล้าหาญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่เพิ่งฟื้นตัว …

แล้วอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังความมั่นใจที่เกินร้อยนี้? ทำไมพวกเขาถึงกล้าทุ่มเงินมหาศาลขนาดนี้ ทั้งที่เพิ่งรอดชีวิตจากการล้มละลายมาได้หมาด ๆ …

เหตุผลแรกคือเรื่องของ “ต้นทุนการดำเนินงาน” ในช่วงนั้นราคาน้ำมันเบนซินผันผวนและสูงขึ้นต่อเนื่อง การเปลี่ยนไปใช้ EV หมายถึงการประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้มหาศาลสำหรับกองยานพาหนะขนาดใหญ่

เหตุผลที่สองคือการ “บำรุงรักษา” พวกเขาเชื่อว่า EV มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ทำให้ต้นทุนการซ่อมบำรุงต่ำลงมาก และรถจะสามารถทำเงินอยู่บนท้องถนนได้นานขึ้น …

และเหตุผลสุดท้ายคือ “กระแส” ของตลาด ในปีนั้น Tesla มีมูลค่าตลาดสูงลิ่วทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมรายใหญ่ต่างก็ทุ่มเงินหลายหมื่นล้านเพื่อเข้าสู่สนาม EV

Hertz ต้องการเป็น “คนแรก” ในอุตสาหกรรมเช่ารถที่คว้าโอกาสนี้ไว้ และนักลงทุนก็ตอบรับการเดิมพันนี้อย่างร้อนแรง

หุ้นของ Hertz พุ่งขึ้นเกือบ 40% หลังจากการประกาศ มันดูเหมือนเป็น “แผนกอบกู้บริษัท” ที่สมบูรณ์แบบ …

แต่สิ่งที่ Hertz ไม่ได้คาดคิดคือ การเป็นคนแรกในนวัตกรรมใหม่ ๆ มักหมายถึงการเป็น “หนูทดลอง” ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงและต้นทุนที่คนอื่นไม่ต้องจ่าย …

เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากเริ่มเข้าสู่กองยานพาหนะของ Hertz ปัญหาที่แท้จริงก็เริ่มปรากฏให้เห็นทันที ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้สมมติฐานทั้งหมดของพวกเขาพังทลายลง …

ปัญหาแรกที่พุ่งเข้าใส่หน้าคือเรื่องของ “การบำรุงรักษา” พวกเขาคิดว่าจะประหยัด แต่กลับกลายเป็นว่า ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถยนต์ไฟฟ้า สูงกว่ารถยนต์น้ำมันถึง 20% …

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ลองคิดดูว่าเมื่อรถ Tesla เกิดอุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อย การซ่อมแซมมักจะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนและมีราคาสูง ซึ่งหาได้ยากในอู่ซ่อมทั่วไป

ที่สำคัญคือ “การขาดแคลน” ช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการซ่อม EV ทำให้รถที่ประสบอุบัติเหตุต้องจอดรอซ่อมนานขึ้น ซึ่งหมายถึงการ “สูญเสียรายได้” และเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานโดยรวม

ไม่เพียงเท่านั้น อัตราการเกิดอุบัติเหตุของรถยนต์ในกองยานพาหนะก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รถยนต์ Tesla Model 3 และ Y มีแรงบิดสูงมาก ผู้เช่ารถยนต์ทั่วไปที่ไม่ได้คุ้นเคยกับ EV อาจขับรถด้วยความประมาทและทำให้เกิดการชนได้ง่ายกว่า

Hertz พยายามแก้ปัญหาด้วยการจำกัดความเร็วและอัตราเร่งของรถยนต์ Tesla บางรุ่น และเสนอรถยนต์สมรรถนะสูงเฉพาะกับลูกค้าที่มีประสบการณ์ขับ EV มาก่อน แต่มันก็สายเกินไป

ปัญหาที่สองคือ “ประสบการณ์ของลูกค้า” การเช่ารถยนต์ในวันหยุดหมายถึงความสะดวกสบายและความแน่นอน แต่ EV กลับมอบ “ความวิตกกังวลเรื่องระยะทาง” หรือที่เรียกว่า Range Anxiety ให้กับผู้เช่า

สถานีชาร์จไม่ได้มีอยู่ทุกที่เหมือนปั๊มน้ำมัน และแม้จะเจอสถานีชาร์จ การรอชาร์จเป็นเวลา 30 นาทีหรือนานกว่านั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยว

เรื่องเล่าของผู้เช่ารถที่ต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงต่อสู้เพื่อแย่งชิงเครื่องชาร์จ หรือแม้แต่ไม่รู้วิธีชาร์จที่ถูกต้อง ถูกเผยแพร่ออกไปทางโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ทำให้ความต้องการเช่า EV สำหรับการเดินทางไกลลดลงอย่างมาก

แต่ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด คือปัญหาที่ Hertz ไม่ควรจะลืมเลย นั่นคือ “มูลค่าการขายต่อ” ของสินทรัพย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโมเดลธุรกิจรถเช่า และเคยทำให้พวกเขา “ล้มละลาย” มาแล้ว …

บริษัทรถเช่าใช้หลักทรัพย์ที่ผูกกับ “มูลค่ารถยนต์มือสอง” ในการกู้เงิน หากมูลค่ารถยนต์ที่คาดว่าจะขายได้ลดลง พวกเขาจะต้องหาเงินสดมาจ่ายส่วนต่างให้เจ้าหนี้

Hertz คาดว่า EV จะรักษามูลค่าได้ดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Tesla และผู้ผลิตรายอื่น ๆ เริ่ม “ลดราคารถยนต์ใหม่” อย่างรุนแรง เพื่อแข่งขันในตลาด …

การลดราคาขายรถใหม่ของ Tesla ทำให้มูลค่าของรถ Tesla มือสองในตลาด ดิ่งลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “งบดุล” ของ Hertz

ค่าเสื่อมราคาที่เคยเป็นต้นทุนที่ “จัดการได้” ก็กลายเป็น “หลุมดำ” ขนาดใหญ่ที่ดูดกลืนเงินสดของบริษัทไปอย่างมหาศาล และนี่คือจุดที่การเดิมพันครั้งนี้เริ่มไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป …

เมื่อปัญหาทุกด้านประดังเข้ามาพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนซ่อมบำรุงที่สูง ประสบการณ์ลูกค้าที่แย่ และมูลค่ารถยนต์ที่ทรุดตัวอย่างรวดเร็ว Hertz ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้อง “ยอมแพ้”

ในช่วงต้นปี 2024 Hertz ประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญ นั่นคือการขายรถยนต์ไฟฟ้าออกจากกองยานพาหนะจำนวนมากถึง 30,000 คัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถ Tesla ที่เพิ่งสั่งซื้อมาได้เพียงสองปี

รถ Tesla Model 3 บางคันถูกขายในราคาต่ำถึง 20,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเพียง “ครึ่งหนึ่ง” ของราคาที่ Hertz จ่ายไปเมื่อปีก่อนหน้า

Hertz ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ “ค่าเสื่อมราคา” จากการขายรถยนต์เหล่านี้ถึง 245 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียว

และเมื่อ Hertz เปิดเผยผลประกอบการประจำปี 2024 ตัวเลขก็ตอกย้ำความผิดพลาดครั้งนี้อย่างเจ็บปวด บริษัทรายงาน “ผลขาดทุนสุทธิ” ถึง 2.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการ “ตัดจำหน่ายมูลค่า” ของกองยานพาหนะ EV ทั้งหมด

การเดิมพันที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นการมองการณ์ไกล ได้กลายเป็น “หายนะทางการเงิน” ที่แท้จริง และส่งผลให้ Stephen Scherr CEO ที่นำพาแผนนี้ต้องลาออกจากตำแหน่งในที่สุด

Hertz ได้แต่งตั้ง Gil West อดีตผู้บริหารสายปฏิบัติการของ Delta Air Lines เข้ามาเป็น CEO คนใหม่ เพื่อ “แก้ไขหายนะ” ครั้งนี้

Gil West ประกาศทันทีว่าจะนำพาบริษัท “กลับสู่พื้นฐาน” ของการดำเนินงานและบริการลูกค้า

เรื่องราวของ Hertz ไม่ได้หมายความว่า EV นั้นไม่ดี แต่เป็นบทเรียนที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจทุกประเภท นั่นคือการ “เร่งรีบ” เข้าสู่กระแสหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยที่โครงสร้างพื้นฐานและตลาดผู้บริโภคยังไม่พร้อม อาจทำให้คุณต้องจ่าย “ต้นทุน” ที่สูงเกินกว่าจะรับไหว

บริษัทให้เช่ารถยนต์อื่น ๆ อย่าง Sixt ในยุโรป ก็เล่นเกมนี้อย่างชาญฉลาดกว่า โดยการคงสัดส่วน EV ไว้ในระดับต่ำและเฝ้าดูตลาดอย่างระมัดระวัง พวกเขาไม่ทุ่มสุดตัวตั้งแต่แรกเหมือนที่ Hertz ทำ

สุดท้ายแล้ว Hertz ก็ได้ลืมบทเรียนสำคัญที่เคยทำให้พวกเขาล้มมาแล้วครั้งหนึ่ง นั่นคือ “ความเปราะบางต่อมูลค่าสินทรัพย์”

การกระโดดเข้าสู่ตลาด EV ที่ผันผวน ก็เหมือนกับการพาตัวเองกลับไปสู่ “วงจรอุบาทว์ทางการเงิน” เดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากรถยนต์น้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น

ซึ่งสุดท้ายแล้วมันคือการเดิมพันที่ “ผิดที่ผิดเวลา” อย่างแท้จริง …

CR https://www.facebook.com/share/1JG9mhDv8L/?mibextid=wwXIfr
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่