Dune (2021) - ไม่ใช่แค่หนังอวกาศ แต่คือมหากาพย์ที่ทำเอาอึ้ง ทึ่ง และอยากให้มีภาคต่อเร็วๆ ครับ!


TITLE: Dune (2021) - ไม่ใช่แค่หนังอวกาศ แต่คือมหากาพย์ที่ทำเอาอึ้ง ทึ่ง และอยากให้มีภาคต่อเร็วๆ ครับ!

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีโอกาสได้ไปดูหนังที่หลายคนรอคอยกันมานานอย่าง "Dune" ฉบับปี 2021 ของผู้กำกับ Denis Villeneuve มาครับ บอกตรงๆ ว่าก่อนไปดูนี่ก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเวอร์ชั่นเก่าก็ทำไว้ดีมาก แล้วเรื่อง Dune นี่มันก็ค่อนข้างมีความซับซ้อนเยอะพอสมควร กลัวว่าจะทำออกมาไม่ถึง หรือย่อยยากเกินไป แต่พอหนังจบเท่านั้นแหละครับ บอกเลยว่าความกังวลหายไปหมด กลายเป็นความรู้สึกทึ่งในความอลังการและประทับใจในรายละเอียดต่างๆ ที่เขาใส่มาจริงๆ ครับ

ก่อนอื่นเลยนะครับ ต้องขอชื่นชมภาพและเสียงของหนังเรื่องนี้ก่อนเลยครับ มันอลังการงานสร้างมากๆ ฉากต่างๆ บนดาว Arrakis นี่ทำออกมาได้สมจริงจนน่าขนลุกครับ ทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล เม็ดทรายที่ปลิวว่อน หรือแม้แต่หนอนยักษ์ที่โผล่มาแต่ละครั้งนี่ทำเอาเก้าอี้แทบจะสั่นตามไปด้วยเลยครับ ระบบเสียงก็ยอดเยี่ยมมากครับ การออกแบบเสียงของยานพาหนะ เสียงลม เสียงฝีเท้า หรือแม้แต่เสียงหายใจของตัวละคร ก็ทำออกมาได้ดีจนเราอินไปกับบรรยากาศจริงๆ ครับ การแสดงของนักแสดงก็ไม่ต้องพูดถึงครับ Timothée Chalamet ในบท Paul Atreides นี่ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครได้อย่างน่าเชื่อถือครับ จากเด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้อะไรมากนัก ค่อยๆ เติบโตและแบกรับภาระอันใหญ่หลวงไว้บนบ่า มันดูเป็นธรรมชาติมากๆ ครับ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันครับ ไม่ว่าจะเป็น Oscar Isaac ในบท Duke Leto, Rebecca Ferguson ในบท Lady Jessica หรือแม้แต่ Jason Momoa ในบท Duncan Idaho ที่ดูเท่และมีเสน่ห์มากๆ ครับ

เรื่องราวของ Dune มันไม่ได้เป็นแค่การผจญภัยในอวกาศธรรมดาทั่วไปนะครับ มันมีความซับซ้อนทางการเมือง ศาสนา วัฒนธรรม และการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายครับ เราจะได้เห็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างตระกูลต่างๆ โดยเฉพาะตระกูล Atreides กับ Harkonnen ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานาน การดำเนินเรื่องในช่วงแรกอาจจะดูเนิบๆ ไปบ้าง เพราะผู้กำกับเขาค่อยๆ ปูพื้นฐานของโลกใบนี้ ตัวละคร และความขัดแย้งต่างๆ ให้เราได้ทำความเข้าใจก่อนครับ ซึ่งผมว่ามันเป็นข้อดีนะ เพราะถ้าเร่งรีบเกินไป คนที่เพิ่งดูอาจจะงงได้ครับ แต่พอเข้าช่วงกลางเรื่องไปแล้ว ความเข้มข้นก็เริ่มมาเรื่อยๆ ครับ

สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือการที่หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเครื่องแต่งกาย ยานพาหนะ หรือแม้แต่การสร้างโลกของชาว Fremen ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย รายละเอียดเหล่านี้ช่วยเสริมให้โลกของ Dune ดูมีชีวิตชีวาและน่าเชื่อถือมากขึ้นครับ เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของพวกเขา การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย และความเชื่อทางศาสนาที่ฝังรากลึก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวครับ

แน่นอนว่า Dune ฉบับนี้เป็นแค่ส่วนแรกของเรื่องราวทั้งหมดนะครับ จบแบบปลายเปิดชวนให้คิดต่อ ซึ่งก็แอบเสียดายเล็กๆ ที่ต้องรอภาคต่อไปอีก แต่ก็เข้าใจได้ว่าผู้กำกับเขาต้องการเล่าเรื่องราวให้สมบูรณ์ที่สุดครับ การที่เขาแบ่งหนังออกเป็นสองภาคแบบนี้ ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับโลกของ Dune ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องรีบร้อนจนเกินไปครับ

สำหรับใครที่ยังไม่เคยดู Dune มาก่อนเลย ผมแนะนำว่าควรจะไปดูครับ ถึงแม้ว่าเรื่องราวอาจจะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง แต่รับรองว่าคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอนครับ ภาพสวย เสียงดี เนื้อหาเข้มข้น นักแสดงเล่นดี เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกว่า "อิ่ม" จริงๆ ครับ มันไม่ใช่แค่หนังบันเทิง แต่เป็นงานศิลปะที่น่าประทับใจมากๆ ครับ

ผมมองว่า Dune (2021) ไม่ได้เป็นแค่หนังไซไฟอวกาศที่เน้นฉากแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมนะครับ แต่มันคือการเล่าเรื่องที่จริงจังและมีความลุ่มลึกครับ การเมือง การศาสนา วัฒนธรรม การเอาตัวรอด การเผชิญหน้ากับโชคชะตา เหล่านี้ล้วนเป็นแก่นเรื่องที่น่าสนใจทั้งสิ้นครับ ผู้กำกับ Denis Villeneuve เขาเก่งมากในการสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลึกลับ และน่าเกรงขาม ทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวาลและภัยอันตรายที่รอคอยอยู่

ส่วนตัวผมคิดว่าการที่หนังใช้เวลาปูเรื่องในช่วงแรกค่อนข้างเยอะ ไม่ได้เป็นจุดอ่อนแต่อย่างใดครับ มันเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับเรื่องราวในภาคต่อไป การทำความเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลต่างๆ ความขัดแย้งระหว่างตระกูล Atreides และ Harkonnen รวมถึงความสำคัญของดาว Arrakis และ "สไปซ์" (Spice) ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในจักรวาล เป็นสิ่งจำเป็นมากครับ ถ้าหนังเร่งรีบเกินไป คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนอาจจะรู้สึกสับสนและตามไม่ทัน

ผมประทับใจกับการออกแบบฉากต่างๆ มากครับ โดยเฉพาะยานพาหนะ และอาคารต่างๆ ที่ดูมีความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง สื่อถึงเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแต่ก็ยังมีความดิบเถื่อนอยู่ การสร้างโลกของชาว Fremen ก็ทำได้น่าทึ่งครับ เราได้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย และความเชื่อที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกเขากลายเป็นชนเผ่าที่น่าสนใจและมีความสำคัญต่อเรื่องราวอย่างยิ่ง

การแสดงของนักแสดงทุกคนก็ยอดเยี่ยมครับ Timothée Chalamet ถ่ายทอดบท Paul Atreides ได้อย่างน่าเชื่อถือ ตั้งแต่การเป็นเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล ไปจนถึงการค่อยๆ เผชิญหน้ากับชะตากรรมของตนเอง Rebecca Ferguson ในบท Lady Jessica ก็แสดงได้อย่างทรงพลังครับ เธอเป็นทั้งแม่ ผู้ปกป้อง และผู้มีพลังพิเศษที่ซ่อนเร้น Oscar Isaac ในบท Duke Leto ก็แสดงความเป็นผู้นำและความเสียสละออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วน Jason Momoa ในบท Duncan Idaho ก็ขโมยซีนไปไม่น้อยเลยครับ เขาแสดงถึงความภักดีและความแข็งแกร่งได้อย่างมีเสน่ห์

สิ่งที่ทำให้ Dune (2021) แตกต่างจากหนังไซไฟทั่วไปคือความลุ่มลึกของเนื้อหาครับ มันไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่ออำนาจ แต่ยังมีการสำรวจประเด็นเกี่ยวกับศาสนา การเมือง สิ่งแวดล้อม และการเผชิญหน้ากับโชคชะตา การที่ผู้กำกับเลือกที่จะแบ่งหนังออกเป็นสองภาค ทำให้เขามีเวลามากพอที่จะเล่าเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ และทำให้คนดูได้ซึมซับกับโลกของ Dune ได้อย่างลึกซึ้ง

ถึงแม้ว่าหนังจะจบแบบปลายเปิด และทำให้เรารู้สึกอยากดูภาคต่อไปเร็วๆ แต่ผมก็เข้าใจได้ครับ การเล่าเรื่องราวทั้งหมดในภาคเดียวคงจะเป็นไปได้ยาก และอาจจะทำให้หนังดูยัดเยียดเกินไป การแบ่งเป็นสองภาคแบบนี้ ทำให้เราได้ลิ้มรสความยิ่งใหญ่ของ Dune อย่างแท้จริงครับ

โดยสรุปแล้ว Dune (2021) เป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนไปดูครับ เป็นประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่น่าประทับใจมากๆ ทั้งภาพ เสียง การแสดง และเนื้อหาที่ลุ่มลึกครับ ใครที่ชอบหนังแนวไซไฟ แฟนตาซี หรือชอบเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการเมืองและวัฒนธรรม ไม่ควรพลาดเรื่องนี้เด็ดขาดครับ รอภาคต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ครับ!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่