คะแนน IMDb ปัจจุบัน: 9.0/10
กำกับโดย: Denis Villeneuve
นำแสดงโดย: Timothée Chalamet, Zendaya, Rebecca Ferguson, Austin Butler, Florence Pugh, Javier Bardem
🏜️
เรื่องย่อ
ภาคต่อของมหากาพย์ไซไฟ
Dune (2021) ที่ดัดแปลงจากนิยายระดับตำนานของ
Frank Herbert ดำเนินเรื่องต่อจากจุดจบของภาคแรก
Paul Atreides (Timothée Chalamet) ผู้รอดชีวิตจากการสังหารล้างตระกูล Atreides โดยกลุ่ม Harkonnen ต้องเรียนรู้วิถีของชาวทะเลทราย
Fremen พร้อมทั้งฝึกฝนร่างกายและจิตใจเพื่อกลายเป็น "ผู้นำ" ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นบุคคลในคำทำนาย
เมื่ออาณาจักรเริ่มตระหนักถึงพลังของ Paul เขาจึงต้องเลือกระหว่าง “การล้างแค้น” หรือ “การเปลี่ยนแปลงจักรวาล” พร้อม ๆ กับความรักที่ก่อตัวขึ้นกับ
Chani (Zendaya) และภารกิจที่ใหญ่เกินตัว
🎞️
รีวิวหลังรับชม
✅
จุดเด่นของภาพยนตร์
งานภาพระดับ “อลังการแห่งยุค”
Denis Villeneuve ยังคงใช้ภาพเล่าเรื่องได้อย่างทรงพลัง ทุกเฟรมเหมือนภาพวาด – ตั้งแต่ทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ไปจนถึงฉากยิ่งใหญ่ของสงคราม ความเชื่อ และพิธีกรรม
ดนตรีประกอบโดย Hans Zimmer ที่กระแทกหัวใจ
เสียงซาวด์ดีไซน์และดนตรีอันลึกลับ ล้ำลึก และบ้าคลั่งของ Zimmer ยังเป็นหัวใจของบรรยากาศ ทำให้ทุกฉาก “รู้สึกยิ่งใหญ่” แบบไม่ต้องพูดเยอะ
พัฒนาการของ Paul ที่ทั้งยิ่งใหญ่และน่าหวั่นเกรง
Timothée Chalamet ถ่ายทอดตัวละคร Paul ได้อย่างมีมิติ – จากเด็กหนุ่มสู่บุคคลที่ถูกเชิดชูในฐานะ “พระผู้ไถ่” แต่แฝงไว้ด้วยความไม่แน่นอนว่า เขาจะเป็นวีรบุรุษ… หรือเผด็จการในอนาคต
ตัวละครใหม่ที่เพิ่มความเข้มข้น
Austin Butler กับบท
Feyd-Rautha คือวายร้ายที่ทั้งเท่และน่าสะพรึง
Florence Pugh รับบท
Princess Irulan ที่แฝงไปด้วยชั้นเชิงทางการเมือง
Javier Bardem, Zendaya มีบทมากขึ้นและทรงพลังกว่าภาคแรก
ฉากขี่ Sandworm ที่สะใจและเป็น “สัญลักษณ์ของการครองทะเลทราย”
หนึ่งในฉากที่ทุกคนรอคอย และหนังก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มันทั้งบ้าคลั่ง ยิ่งใหญ่ และให้ความรู้สึกถึงการ "ครองพลังแห่งธรรมชาติ"
❌
จุดที่อาจเป็นข้อเสีย
หนังยังคงโทน “จริงจัง” และดำเนินเรื่องแบบหนักแน่น
สำหรับผู้ชมที่ชอบหนังไซไฟแบบบู๊เยอะ อาจรู้สึกว่า Dune ไม่ได้เน้นแอ็กชันตลอดเวลา แต่มากด้วยการวางหมาก การเมือง และจิตวิทยา
ต้องดูภาคแรกก่อนถึงจะเข้าใจเต็มร้อย
เนื่องจากไม่มีการย้อนอธิบายมากนัก หากไม่ดู
Dune (2021) มาก่อน อาจหลงทางกับศัพท์เฉพาะและความซับซ้อนของจักรวาลนี้
🏆
สรุป
“Dune: Part Two” คือผลงานไซไฟระดับมหากาพย์ที่ทั้งลุ่มลึก เข้มข้น และสะท้อนถึง “ศรัทธา, อำนาจ, และชะตากรรม” ได้อย่างมีชั้นเชิง มันคือการผสมผสานระหว่าง
Star Wars ที่จริงจังขึ้น กับ
Game of Thrones ในโลกอนาคต
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังไซไฟ แต่มันคือ “บทกวีของการก่อเกิดจักรวรรดิ” ที่สะเทือนจักรวาล
คะแนน: 9/10 ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐
รีวิวภาพยนตร์ "Dune: Part Two" (2024) – มหาสงครามแห่งโชคชะตา และการกำเนิดของมหาราชันย์แห่งทะเลทราย
คะแนน IMDb ปัจจุบัน: 9.0/10
กำกับโดย: Denis Villeneuve
นำแสดงโดย: Timothée Chalamet, Zendaya, Rebecca Ferguson, Austin Butler, Florence Pugh, Javier Bardem
🏜️ เรื่องย่อ
ภาคต่อของมหากาพย์ไซไฟ Dune (2021) ที่ดัดแปลงจากนิยายระดับตำนานของ Frank Herbert ดำเนินเรื่องต่อจากจุดจบของภาคแรก
Paul Atreides (Timothée Chalamet) ผู้รอดชีวิตจากการสังหารล้างตระกูล Atreides โดยกลุ่ม Harkonnen ต้องเรียนรู้วิถีของชาวทะเลทราย Fremen พร้อมทั้งฝึกฝนร่างกายและจิตใจเพื่อกลายเป็น "ผู้นำ" ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นบุคคลในคำทำนาย
เมื่ออาณาจักรเริ่มตระหนักถึงพลังของ Paul เขาจึงต้องเลือกระหว่าง “การล้างแค้น” หรือ “การเปลี่ยนแปลงจักรวาล” พร้อม ๆ กับความรักที่ก่อตัวขึ้นกับ Chani (Zendaya) และภารกิจที่ใหญ่เกินตัว
🎞️ รีวิวหลังรับชม
✅ จุดเด่นของภาพยนตร์
งานภาพระดับ “อลังการแห่งยุค”
Denis Villeneuve ยังคงใช้ภาพเล่าเรื่องได้อย่างทรงพลัง ทุกเฟรมเหมือนภาพวาด – ตั้งแต่ทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ไปจนถึงฉากยิ่งใหญ่ของสงคราม ความเชื่อ และพิธีกรรม
ดนตรีประกอบโดย Hans Zimmer ที่กระแทกหัวใจ
เสียงซาวด์ดีไซน์และดนตรีอันลึกลับ ล้ำลึก และบ้าคลั่งของ Zimmer ยังเป็นหัวใจของบรรยากาศ ทำให้ทุกฉาก “รู้สึกยิ่งใหญ่” แบบไม่ต้องพูดเยอะ
พัฒนาการของ Paul ที่ทั้งยิ่งใหญ่และน่าหวั่นเกรง
Timothée Chalamet ถ่ายทอดตัวละคร Paul ได้อย่างมีมิติ – จากเด็กหนุ่มสู่บุคคลที่ถูกเชิดชูในฐานะ “พระผู้ไถ่” แต่แฝงไว้ด้วยความไม่แน่นอนว่า เขาจะเป็นวีรบุรุษ… หรือเผด็จการในอนาคต
ตัวละครใหม่ที่เพิ่มความเข้มข้น
Austin Butler กับบท Feyd-Rautha คือวายร้ายที่ทั้งเท่และน่าสะพรึง
Florence Pugh รับบท Princess Irulan ที่แฝงไปด้วยชั้นเชิงทางการเมือง
Javier Bardem, Zendaya มีบทมากขึ้นและทรงพลังกว่าภาคแรก
ฉากขี่ Sandworm ที่สะใจและเป็น “สัญลักษณ์ของการครองทะเลทราย”
หนึ่งในฉากที่ทุกคนรอคอย และหนังก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มันทั้งบ้าคลั่ง ยิ่งใหญ่ และให้ความรู้สึกถึงการ "ครองพลังแห่งธรรมชาติ"
❌ จุดที่อาจเป็นข้อเสีย
หนังยังคงโทน “จริงจัง” และดำเนินเรื่องแบบหนักแน่น
สำหรับผู้ชมที่ชอบหนังไซไฟแบบบู๊เยอะ อาจรู้สึกว่า Dune ไม่ได้เน้นแอ็กชันตลอดเวลา แต่มากด้วยการวางหมาก การเมือง และจิตวิทยา
ต้องดูภาคแรกก่อนถึงจะเข้าใจเต็มร้อย
เนื่องจากไม่มีการย้อนอธิบายมากนัก หากไม่ดู Dune (2021) มาก่อน อาจหลงทางกับศัพท์เฉพาะและความซับซ้อนของจักรวาลนี้
🏆 สรุป
“Dune: Part Two” คือผลงานไซไฟระดับมหากาพย์ที่ทั้งลุ่มลึก เข้มข้น และสะท้อนถึง “ศรัทธา, อำนาจ, และชะตากรรม” ได้อย่างมีชั้นเชิง มันคือการผสมผสานระหว่าง Star Wars ที่จริงจังขึ้น กับ Game of Thrones ในโลกอนาคต
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังไซไฟ แต่มันคือ “บทกวีของการก่อเกิดจักรวรรดิ” ที่สะเทือนจักรวาล
คะแนน: 9/10 ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐