พระ​พุทธ​เจ้า​ตรัส​ว่า​ โลก​นี้​ไม่น่าอยู่​

กระทู้คำถาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! คนในโลกส่วนใหญ่
เต็มไปด้วยความกลับกลอกและหลอกลวง
หาความจริงไม่ค่อยได้
แม้แต่ในการนับถือศาสนา ด้วยอาการดังกล่าวนี้
โลกจึงเป็นเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังตลอดเวลา
ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์
มีลมพัดเย็นสบาย
แต่สถานที่เหล่านั้น มักบรรจุเต็มไปด้วยคน
ซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก
ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุข
สู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ได้อย่างไร"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้
เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น
ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่า เหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟ
มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย
เสนาบดีดื่มน้ำ ด้วยภาชนะทองคำ
กับคนจนๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะ ที่ทำด้วยกะลามะพร้าว
เมื่อมีความพอใจ ย่อมมีความสุขเท่ากัน
นี่เป็นข้อยืนยันว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ
อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มี
แต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้
ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียว
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ มิใช่คนใหญ่คนโต
แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตน มีความสุขสงบเยือกเย็น
ปราศจากความเร่าร้อน กระวนกระวาย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลก
ที่น้อยคนนักจะสละและวางได้ จึงแย่งลาภแย่งยศกันอยู่เสมอ
เหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน
แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย
หรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน
จิกตีกันทำลายกันจนพินาศไปทั้งสองฝ่าย
น่าสังเวชสลดใจจิตยิ่งนัก
ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง
มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี
ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกัน
มีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย
ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและชีวิต
โลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก
แต่ช่างเขาเถิด หน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ
คือ ลดความโลภ ความโกรธ
และความหลงของเธอเองให้น้อยลง
แล้วจะประสบความสุข ความเยือกเย็นขึ้นมาก
เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใด
ความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ทำไมมนุษย์จึงยอมตัว
อยู่ภายใต้การจองจำของสังคม
ซึ่งมีแต่ความหลอกหลอน สับปรับและแปรผัน
ทำไมมนุษย์จึงยอมตัวเป็นทาสของสังคม
จนแทบจะกระดิกกระเดี้ยตัวมิได้
จะทำอะไรจะคิดอะไร
ก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของสังคมไปเสียหมด
สังคมจึงกลายเป็นเครื่องจองจำชีวิต
ที่มนุษย์ซึ่งสำคัญตัวว่า เจริญแล้วช่วยกันสร้างขึ้น
เพื่อผูกมัดตัวเองให้อึดอัดรำคาญ
มนุษย์ยิ่งเจริญขึ้นก็ดูเหมือน
จะมีเสรีภาพน้อยลง ทั้งทางกายและทางใจ
ดูๆ แล้วความสะดวกสบาย และเสรีภาพของมนุษย์
จะสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้
ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ
ดูอย่างเช่น ฝูงวิหคนกกา
มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกัน
แต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์
ภาระใหญ่ที่ต้องแบกไว้
คือ เรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ
มันเป็นภาระหนักยิ่งของมนุษยชาติ
สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่ง คือ เรื่องเกียรติ
คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกิน
นักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ เรื่องกาม
คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียว
ปลดภาระไปได้อีกมาก
แต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกาม
ก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่
ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกีย์วิสัย
บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบ
จะต้องกินอย่างมีเกียรติ กินให้สมเกียรติ
มิใช่กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้
ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะ
ความจริงร่างกายคนเรา มิได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก
เมื่อหิวร่างกายก็ต้องการอาหาร
เพียงเพื่อบำบัดความหิวเท่านั้น
แต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย
จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ
และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วง
คนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้
แต่จำต้องทำเหมือนโคหรือควาย
ซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถ
แต่จำใจต้องลากมันไปลากมันไป อนิจจา !"

[img]http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gif[/img] [img]http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gif[/img] [img]http://www.dhammajak.net/board/images/smiles/b8.gif[/img]

เครดิต​

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11417
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่