กาลครั้งนึง เฮ้ย หยอกๆๆฮะ 55555+
เกิ่นถึงเรื่องราวคร่าวๆ เป็นความรักที่ผมคิดว่าเป็นรักที่จริงใจสุดไปของผมล่ะแหละ (รักต่างศาสนา)
อุปสรรคคือครอบครัวอีกฝ่ายและบลาๆ แฟนคนนี้ผมได้รู้จัก เดือนพฤษภาคมปี63 หลังจากจ้ายมาที่ทำงานใหม่ได้1เดือนกว่า แรกเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักกันทั่วไปไปตามประสาคนแผนกเดียวกัน ผมเริ่มคุยกับเขาบ่อยขึ้นเหตุเกิดจากเขาโทรมาหาผมวันที่ผมหยุดงาน ถามหายาแก้ปวดท้องประจำเดือนที่อยู่ในแผนก แรกๆตกใจมากที่เขาโทรมาเพราะผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องจะมีแฟนเลยตั้งแต่ ม.2 จนถึงปี65 เวลาก็ประมาณ7ปีมั้ง หลังๆผมและเขาคุยกันทางโทรศัพท์บ่อยขึ้นจนมาถึงวันนึงที่เขากับเพื่อนขับรถเย็นกันโดยที่คุยกันกับเพื่อนว่า"หาที่ไปป่ะยังไม่อยากกลับห้อง" แฟนผมจึงเสนอเพื่อนว่ามาหาผมที่ห้องพัก มาถึงผมก็ตอนรับทั่วไปลงไปซื้อน้ำ,ขนมที่7-11 นั่งคุยกันนิดๆหน่อยๆแล้วพวกเขาก็กลับ ตัดมาที่ช่วงเดือน สิงหาคม ผมได้ตัดสินใจบอกว่าชอบเขาและตกลงคบกันเป็นแฟน (ใช้เวลาคุยกัน2เดือน )อาจจะด้วยอยู่ด้วยกันเจอกันทุกวันในที่ทำงานอยู่แล้ว และเวลาเลิกงานผมมักขอติดมอไซค์เขาไปลงรถไฟฟ้าBTS จึงสนิทกันเร็วมากขึ้น ชีวิตประจำวันพวกผมก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดีตามคู่รักทั่วไปที่รักกันมาก ไปเที่ยวเอยไรเอย เซอร์ไพรส์วันเกิด,ครบรอบ แต่แล้วเหตุการณ์เลวร้ายแสนเจ็บปวดใจก็เกิดขึ้นหลังคบกันได้เกือบปี แฟนผมบอก"เราแต่งงานกันไหม เราไม่อยากอยู่แบบไม่ถูกต้องแบบนี้" ขอเกริ่นก่อนว่าอิสลามเขาไม่มีระบบแฟนเหมือนไทยพุทธแบบเราๆเนาะ ผมก็เข้าใจเขาเหมือนกันผมจึงพูดคุยเรื่องนี้จริงจังกับเขา ผมได้เริ่มทำการศึกษาอิสลาม
การละหมาด,ภาษายาวี(ปัจจุบันฟังได้บางคำไม่ถึงกับฟังเป็นประโยคได้)และผมได้บอกเรื่องจะแต่งงานกันคนนี้กันครอบครัวผม แรกๆพ่อ,แม่ไม่ค่อยจะเป็นด้วยซักเท่าไหร่แต่ด้วยที่ผมค่อนข้างจริงจังจึงยอมให้ผม จนจะหาไปยืมตังเพื่อไปขอแฟนคนนี้ให้ผมได้(ไม่ยืมก็ขายที่นาอ่ะนะ) จากนั้นผมได้บอกทางแฟนว่าผมคุยทางบ้านแล้วว่าทางบ้านผมโอเคไม่ติดอะไร จึงเหลือแค่ทางบ้านแฟนผมว่ายังไง แต่ช่วงคบกันเขาก็ได้เล่าอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับศาสนาและครอบครัวซึ่งหนึ่งในเรื่องทางครอบครัวที่เขาเล่าให้ผมฟังจะเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับญาติ ผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายไทยพุทธซึ่งชายไทยพูดคนนั้นก็ต้องเข้าอิสลามและมีลูกด้วยกัน หลังจากนั้นนานไปทั้งฝ่ายหญิงไม่เสียชีวิต แล้วฝ่ายชายในลูกได้ออกจากอิสลามกลับเข้าไทยพุทธ ซึ่งแฟนผมได้บอกว่ากรณีนี้ญาติเขาที่เป็นผู้หญิงต้องรับบาปแทนผัวเขาและลูกๆ(เมื่อเดือนพฤศจิกายน 68 ผมได้ถามกับอาจารย์สอนศาสนาที่สันติชนรามคำแหงว่าเรื่องนี้ใครกันแน่ที่ได้รับบาป ผมก็ได้คำตอบมาว่าใครทำก็ได้บาป สรุปแล้วผู้หญิงญาติเขาที่เสียชีวิตไปไม่ต้องรับบาปแทน แบบนี้เป็นของใครของมันใครทำก็ได้รับ) ซึ่งหลังจากแฟนผมได้คุยกับทางบ้านไม่คาดคิดครับครอบครัวเขาไม่ยอมรับไม่ให้แต่งกับคนต่างศาสนา มีพูดกำชับทิ้งท้ายว่าถ้าจะแต่งกับผู้ชายคนนี้ไม่ต้องกลับมาที่บ้าน แล้วถ้ายังคบกับผู้ชายคนนี้จะให้พี่ชายไปตามถึงกรุงเทพฯแล้วลากตัวกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งสุดท้ายเรื่องนี้แฟนผมก็ได้ตกลงลดสถานะจากแฟนไปเป็นเพื่อนสนิท สนิทที่ว่าก็คือแฟนลับๆ ไปไหนด้วยกันปกติเที่ยวด้วยกันปกติ แต่ไม่เปิดเผย แต่หลังๆแม่เขาพี่สาวเขาก็รู้ว่ายังคบและไปไหนด้วยกันกับผมอยู่ ผมมีช่วงปี 67 เดือนเมษายนแฟนผมได้ทำการผ่าตัดบอลลูนที่หัวใจ เพราะเป็นโรคผนังหัวใจรั่ว ซึ่งคนที่คอยดูแลและแวะเวียนไปเยี่ยมให้ความช่วยเหลือระหว่างพักฟื้นในโรงพยาบาลมันก็คือผมซึ่งครอบครัวเขาก็รู้แล้วก็ขอบคุณผมเช่นกัน
***รู้สึกว่าเรื่องจะยาวมากๆขอสรุปแค่ใจความสำคัญบางหัวข้อนะครับ***
หลังจากคุยเรื่องแต่งงานกันช่วงคบกันได้เกือบปีแรกและลดสถานะลง ต่างคนต่างเศร้าและเสียใจเพราะครอบครัวไม่เห็นด้วย ทางบ้านผมก็ปลอบใจว่าไม่ได้แต่งก็อยู่ดูแลกันแบบนี้ไปเรื่อยไปนั้นแหละ ซึ่งผมก็ดูแลเขาแบบนี้มาเรื่อยๆ จนมาปี67 ผมจำไม่ได้ว่ามีช่วงเดือนไหนบ้าง วันนึงหลังเลิกงานผมได้โทรหาเขาตามปกติช่วงเย็น-ดึกๆ ปรากฎว่าผมโทรไปไม่รับสายทั้งช่องทางออนไลน์ทุกช่องที่ผมมีและเบอร์โทรศัพท์ 10กว่าสาย จนผมได้ไปที่ห้องเขาจึงได้รู้ว่าไม่อยู่ห้องจากนั่นได้โทรหาอีกหลายครั้งซึ่งก็ไม่รับ มันผิดปกติจนผมได้ค้นหาและเจอ IPADของแฟนผมจึงได้เปิดแชทต่างๆดูจนเจอว่ามีผู้ชายที่แฟนผมรู้จักได้ทำการชวนไปขับรถเล่นและถ่ายรูปที่สะพาน (สะพานพระรามอ่ะไรนี่แหละที่เขาฮิตไปถ่ายรูปกลางคืนกัน) ซึ่งผมก็พยายามโทรจนสุดท้ายติดและได้ถามนั่นนี่สุดท้ายผมบอกว่าผมเห็นแชททุกอย่างแล้ว ว่าไปอะไรที่ไหน ซึ่งก็วางใจเปาะนึงเขาไปกัน6คน ดีที่ไม่ใช่2-2 เพราะในนั้นก็มีผู้หญิงด้วยกันอยู่ แต่ผมก็โกรธเขาไปพักใหญ่ ซึ่งเขาก็ขอโทษแหละแต่ไม่กระตือรือร้นที่ง้อผมมากเท่าที่ผมเคยง้อเขาซักเท่าไหร่ เหตุการณ์ต่อมาจับเรื่องคนคุยในIG เจอว่ามีหลายคนแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นคนรู้จักและเพื่อนแถวๆบ้านแฟนผมเอง ผมก็งอลไปอีกรอบนึงเพราะส่วนใหญ่ก็ผู้ชายนี่แหละที่ทักมาคุยกันแฟนผมเอง แต่แฟนผมก็คุยนะ ซึ่งก็บอกอยู่ว่าคบกันผมอะไรก็ว่าไป แต่ผู้ชาย

ก็ตื้อคุยก็ตื้อคุยไม่หยุด ผมเองก็ห้ามได้ไม่เต็ม100%เพราะสถานะผมกันแฟนก็เป็นเพื่อนสนิทกันจึงว่าอะไรเยอะไม่ได้เพราะมีอิสระต่อกันระดับนึง แต่นานไปผู้ชายพวกนี้ก็หายไปเยอะพอควร เหลือแค่ไม่กี่คนซึ่งผมก็รู้ละว่าแฟนผมไม่คิดอะไรไรซักเท่าไหร่
#เดี๋ยวจะเล่าตามไทม์ไลน์เหตุการณ์ต่างๆที่ผมรู้และแฟนผมเปิดใจเล่าให้ฟังด้วยความซื่อสัตย์โเยไม่ปิดบังความลับต่อกัน **แฮะๆแต่ไม่ถนอมใจผมเท่าไหร่** ส่วนแฟนเล่าให้ฟัง บางเรื่องผมรู้เอง แต่เราจะเป็นเรื่องที่เจอในปี 68 ปี 67 ก็มีบ้างแต่จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆขอไม่ยกมาพูด
-1ในชายที่ตามตื๊อคุยตั้งแต่ปี66-68แฟนผมได้กลับบ้านตามเทศกาลอิสลาม ขาจะกลับกทม.ผู้ชายคนนี้ขอว่าอยากมาส่งที่สนามบิน+อยากเจอ ซึ่งแฟนผมก็ยอมให้เจอและมาส่งซึ่งก็ไม่มีไรมามาก เจอหน้าและคุยกันนิดหน่อย
-ผมมีเมลแฟนซึ่งไว้ช่วยทำไลฟ์ขายของซึ่งผมอาสาช่วยหลังบ้าน และได้ไปเจอรูปที่ถ่ายผู้ชายคนนึงที่ไปเที่ยวคาเฟ่ด้วยกัน ที่บ้านในภาคใต้ ซึ่งผมไม่เห็นหน้าเพราะก้มหน้าและใส่หมวกแก็ป
-แฟนไปสวนสาธารณะ ซึ่งผมได้โทรไปถามว่าไปไหนบอกผมแค่ว่าไปข้างนอก มารู้ทีหลังว่าไปสวนและไปกับผู้ชายซึ่งทีแรกนึกว่าไปกับเพื่อนผู้หญิง
-น้องในนามชวนไปกินร้านนั่งชิวคาเฟ่ ซึ่งนางก็บอกผมแล้วแหละผมก็ไปก็ไปสิ นานๆเจอกันนี่
-ผู้ชายรุ่นพี่ชวนไปเที่ยวทะเล ผมได้ถามอยู่ว่าหยุดหลายๆวันนี้ไปไหนซึ่งก็บอกกับผมว่าไปเที่ยวซึ่งก็ลงสตอรี่อะไรปกติแต่ไม่เห็นหน้าคนที่ไปเที่ยวด้วย ซื้อมาเฉลยกับผมทีหลังว่าไปกับรุ่นพี่ผู้ชายที่เขาชวนไปเที่ยว ซึ่งตอนแรกนางไม่ไป แต่ผู้ชายจองไว้ทุกอย่างแล้วก็เลยสงสารจึงยอมไป ไปโดยเช่ารถยนต์ขับไปมีค้างคืนแต่นอนเตียงแยกห้องเดียวกัน ซื้อมาเล่าให้ผมฟังว่าก็ผู้ชายจองไว้หมดแล้วจะไม่ไปก็สงสารเขา ซึ่งไปเที่ยวแฟนผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนี้ บอกกับผมอย่างนี้นะแต่ในใจจริงๆไม่รู้เป็นยังไง
#2 เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ผมยกมา จากการถูกเล่าให้ฟัง แล้วผมรู้สึกโกรธจริง#
-หลานของเพื่อน ขอมาเจอ นางมาเล่าให้ผมฟังว่าเออเนี่ยหลานเพื่อนเนี่ยมันทักมาคุยว่าอยากขอมาเจอที่ห้องได้ไหม ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงเวลาตี 1 ตี 2 ซึ่งแฟนผมก็ปฏิเสธไปหลายครั้งแต่ไอ้หลานของเพื่อนคนนั้นก็ตื้อไม่หยุด สุดท้ายก็ยอมให้มาเจอโดยก็มาเจอที่หอพักก็พาขึ้นห้องเหมือนพาขึ้นมานั่งคุยแหละ แต่ปรากฏว่าพอเข้าห้องแล้วปิดประตูไอ้หลานผู้ชายของเพื่อนสนิทแฟนผม มันปี่ตัวเข้ามาจูบปากผลักลงเตียง เหมือนเอาง่ายๆคือมาเย◌็ด เรื่องแฟนผมก็ผลักออก แล้วก็บอกว่าหยุดไม่ได้ ฉันจะบอกน้าเธอแม่เธอนะ สุดท้ายก็ทะเลาะกันอยู่นานก็ไล่ไอ้ผู้ชายคนนี้กลับได้ มาเล่าให้ผมฟังว่าก็ไม่ได้อะไรก็แค่จูบ โดยเรื่องนี้นางก็ได้บอกกับเพื่อนสนิทไปเรียบร้อยซึ่งเพื่อนสนิทนางก็ไม่คิดว่าหลานนางจะเป็นขนาดนี้ เรื่องนี้ผมโกรธมากผมบอกกับแฟนผมเลยว่าอย่าให้เจอหน้าอย่าต่อยหน้าคว่ำให้
-เรื่องเกิดขึ้นปี 68 กลับบ้านที่ใต้ทางครอบครัวไปเที่ยวทะเลแถวหาดใหญ่ เที่ยวเสร็จขากำลังจะจะกลับช่วงเย็น หนังตะลุงสตอรี่ในตามปกติมีเพื่อนนางที่เป็นตากล้องคนนึง ซึ่งก็สนิทกันตั้งแต่พอสมควรอาจจะสมัยเรียนก็ได้ ไม่ทักมาว่ามาเล่นหาดใหญ่หรอ มาเจอกันไหมขอไปหาได้ไหมมากินข้าวด้วยกัน (ซึ่งผู้ชายคนนี้อาศัยอยู่ที่หาดใหญ่คาดว่าทำงานอยู่ที่นี่) ซึ่งแฟนผมก็บอกกับครอบครัวว่าให้กลับก่อนเลย เพื่อนบอกอยากเจอเดี๋ยววันนี้ไปเจอเพื่อนกินข้าว เดี๋ยวจะนอนที่ห้องเพื่อนอีกคนนึงที่ทำงานอยู่ที่หาดใหญ่นี่แหละซึ่งผมได้ถามทีหลังว่าบอกกับครอบครัวนี่คือเพื่อนผู้หญิงใช่ไหมนางก็ตอบว่าใช่บอกกับครอบครัวว่าไปนอนกับเพื่อนผู้หญิง แต่จริงๆไปนอนกับผู้ชายคนนี้ ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็มารับแล้วก็พาไปกินข้าวขี่รถเล่นสุดท้ายดึก ผู้ชายคนนี้ได้เสนอว่าให้มานอนห้องเราเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าไปส่งที่บ้านพี่สาว ซึ่งพอถึงห้องผู้ชายแฟนผมก็ได้ทำการอาบน้ำแล้วบอกผู้ชายว่าจะใส่ชุดเล่นนะจะอาบน้ำแล้วนะจะนอนแล้วนะ ก็อาบน้ำอะไรเสร็จนอนเล่นที่เตียงเพราะหลังปิดไฟจะนอนผู้ชายคนนี้ก็เข้ามาจูบลวนลามตามร่างกายต่างๆซึ่งแฟนผมบอกว่าขัดขืนไม่ได้เลยแรงเยอะมาก คือผู้ชายคนนี้ก็ตั้งใจจะข่มขืนให้ได้นั่นแหละ ก็โดนจูบเอย ดูดหัว*** เลียจักแร้,น้องสาว ผมเข้าใจนะว่าผู้ชายแรงเยอะและขัดขืนไม่ได้ สุดท้ายก็ห้ามผู้ชายคนนั้นได้แล้วก็ด่าผู้ชายคนนั้นสารพัดจะทำแบบนี้ไม่ได้ฉันมาประจำเดือนอยู่และก็ไม่ยอมให้ทำ ผู้ชายคนนี้ก็บอกว่าฉันชอบมากกูหมั่นเขี้ยวปากกูอยากจูบมานานแล้ว เนี่ยฉันให้โอกาสเธอแล้วนะเธอจะไม่คว้าโอกาสไว้หรอเพราะฉันรักเธอฉันถึงให้โอกาสเธอแต่เธอไม่คว้าเอา
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจนะว่ารักแต่บอกว่าไม่คว้าโอกาสนี่หมายความว่ายังไงคือเจตนาแรกตั้งใจจะข่มขืน สุดท้ายแฟนผมก็ปฏิเสธจนผู้ชายคนนี้ก็ไปนอนอยู่ห้องนั่งเล่นสักพักใหญ่ๆได้แฟนผมก็บอกให้กลับเข้ามานอนในห้อง ซึ่งก็กลับมาในห้องเพราะตอนเช้าก็ไปส่งโดยที่ผู้ชายคนนี้ก็งอนไม่พูดไม่อะไรแฟนผมก็พยายามเหมือนแบบไม่อยากให้เขางอนอะไรอย่างนี้ก็ง้อระหว่างที่ขับรถกำลังจะไปส่งที่บ้านก็จับมือเธออย่างนั้นอย่างนี้เธอต้องเข้าใจฉันนะอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งแฟนผมก็มาบอกกับผมทีหลังหลังจากกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้วก็บอกว่าจริงๆเขาก็ชอบผู้ชายคนนี้อยู่ ซึ่งนางพูดโดยที่ไม่รักษาหัวใจของผมเลย
**ซึ่งสถานะผมและแฟนตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงานกันช่วงปี 67 ก็เป็นสถานะเพื่อนกึ่งแฟนสถานะกึ่งๆกำๆไม่ชัดเจนแต่เพื่อนก็ไม่จะแฟนก็ไม่แต่อยู่ด้วยกันไปไหนด้วยกันตลอด แล้วก็จะมีเรื่องปวดหัวปวดใจแบบนี้ให้ผมซึ่งหลายๆคนก็อาจจะคิดว่าผมควรตัดสินใจแล้วก็ไปหาคนใหม่ได้แล้วถ้าเจอเหตุการณ์ขณะนี้แต่หารู้ไม่ทั้งผมและแฟนผมต่างคนต่างไม่มีแฟนใหม่ไม่จีบใครจริงจังไม่คุยใครจริงจังต่างคนต่างละรั้งกันไว้โดยที่ยังรักกันอยู่แต่รู้ว่าครอบครัวไม่อนุญาต แต่หลังๆที่เจอเรื่องหนักๆที่ไปกับผู้ชายคนนั้นคนนี้ที่ชวนไปเที่ยวไปนอนห้องผู้ชายคนนั้นคนนี้ นางได้บอกกับผมว่าเป็นแบบนี้มานานแล้วรู้สึกว่าถ้าอยู่แบบนี้มันจะไม่คืบหน้าไปไหนผมเข้าใจว่าความคิดเขาอยู่กันแบบนี้มันก็ไม่ไปไหนเขาจึงไปเปิดใจลองดูกับผู้ชายคนอื่น
นิทานของผมเอง รัก3ปีที่เหมือนจะดี แต่ไปไม่รอด ep1
เกิ่นถึงเรื่องราวคร่าวๆ เป็นความรักที่ผมคิดว่าเป็นรักที่จริงใจสุดไปของผมล่ะแหละ (รักต่างศาสนา)
อุปสรรคคือครอบครัวอีกฝ่ายและบลาๆ แฟนคนนี้ผมได้รู้จัก เดือนพฤษภาคมปี63 หลังจากจ้ายมาที่ทำงานใหม่ได้1เดือนกว่า แรกเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักกันทั่วไปไปตามประสาคนแผนกเดียวกัน ผมเริ่มคุยกับเขาบ่อยขึ้นเหตุเกิดจากเขาโทรมาหาผมวันที่ผมหยุดงาน ถามหายาแก้ปวดท้องประจำเดือนที่อยู่ในแผนก แรกๆตกใจมากที่เขาโทรมาเพราะผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องจะมีแฟนเลยตั้งแต่ ม.2 จนถึงปี65 เวลาก็ประมาณ7ปีมั้ง หลังๆผมและเขาคุยกันทางโทรศัพท์บ่อยขึ้นจนมาถึงวันนึงที่เขากับเพื่อนขับรถเย็นกันโดยที่คุยกันกับเพื่อนว่า"หาที่ไปป่ะยังไม่อยากกลับห้อง" แฟนผมจึงเสนอเพื่อนว่ามาหาผมที่ห้องพัก มาถึงผมก็ตอนรับทั่วไปลงไปซื้อน้ำ,ขนมที่7-11 นั่งคุยกันนิดๆหน่อยๆแล้วพวกเขาก็กลับ ตัดมาที่ช่วงเดือน สิงหาคม ผมได้ตัดสินใจบอกว่าชอบเขาและตกลงคบกันเป็นแฟน (ใช้เวลาคุยกัน2เดือน )อาจจะด้วยอยู่ด้วยกันเจอกันทุกวันในที่ทำงานอยู่แล้ว และเวลาเลิกงานผมมักขอติดมอไซค์เขาไปลงรถไฟฟ้าBTS จึงสนิทกันเร็วมากขึ้น ชีวิตประจำวันพวกผมก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดีตามคู่รักทั่วไปที่รักกันมาก ไปเที่ยวเอยไรเอย เซอร์ไพรส์วันเกิด,ครบรอบ แต่แล้วเหตุการณ์เลวร้ายแสนเจ็บปวดใจก็เกิดขึ้นหลังคบกันได้เกือบปี แฟนผมบอก"เราแต่งงานกันไหม เราไม่อยากอยู่แบบไม่ถูกต้องแบบนี้" ขอเกริ่นก่อนว่าอิสลามเขาไม่มีระบบแฟนเหมือนไทยพุทธแบบเราๆเนาะ ผมก็เข้าใจเขาเหมือนกันผมจึงพูดคุยเรื่องนี้จริงจังกับเขา ผมได้เริ่มทำการศึกษาอิสลาม
การละหมาด,ภาษายาวี(ปัจจุบันฟังได้บางคำไม่ถึงกับฟังเป็นประโยคได้)และผมได้บอกเรื่องจะแต่งงานกันคนนี้กันครอบครัวผม แรกๆพ่อ,แม่ไม่ค่อยจะเป็นด้วยซักเท่าไหร่แต่ด้วยที่ผมค่อนข้างจริงจังจึงยอมให้ผม จนจะหาไปยืมตังเพื่อไปขอแฟนคนนี้ให้ผมได้(ไม่ยืมก็ขายที่นาอ่ะนะ) จากนั้นผมได้บอกทางแฟนว่าผมคุยทางบ้านแล้วว่าทางบ้านผมโอเคไม่ติดอะไร จึงเหลือแค่ทางบ้านแฟนผมว่ายังไง แต่ช่วงคบกันเขาก็ได้เล่าอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับศาสนาและครอบครัวซึ่งหนึ่งในเรื่องทางครอบครัวที่เขาเล่าให้ผมฟังจะเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับญาติ ผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายไทยพุทธซึ่งชายไทยพูดคนนั้นก็ต้องเข้าอิสลามและมีลูกด้วยกัน หลังจากนั้นนานไปทั้งฝ่ายหญิงไม่เสียชีวิต แล้วฝ่ายชายในลูกได้ออกจากอิสลามกลับเข้าไทยพุทธ ซึ่งแฟนผมได้บอกว่ากรณีนี้ญาติเขาที่เป็นผู้หญิงต้องรับบาปแทนผัวเขาและลูกๆ(เมื่อเดือนพฤศจิกายน 68 ผมได้ถามกับอาจารย์สอนศาสนาที่สันติชนรามคำแหงว่าเรื่องนี้ใครกันแน่ที่ได้รับบาป ผมก็ได้คำตอบมาว่าใครทำก็ได้บาป สรุปแล้วผู้หญิงญาติเขาที่เสียชีวิตไปไม่ต้องรับบาปแทน แบบนี้เป็นของใครของมันใครทำก็ได้รับ) ซึ่งหลังจากแฟนผมได้คุยกับทางบ้านไม่คาดคิดครับครอบครัวเขาไม่ยอมรับไม่ให้แต่งกับคนต่างศาสนา มีพูดกำชับทิ้งท้ายว่าถ้าจะแต่งกับผู้ชายคนนี้ไม่ต้องกลับมาที่บ้าน แล้วถ้ายังคบกับผู้ชายคนนี้จะให้พี่ชายไปตามถึงกรุงเทพฯแล้วลากตัวกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งสุดท้ายเรื่องนี้แฟนผมก็ได้ตกลงลดสถานะจากแฟนไปเป็นเพื่อนสนิท สนิทที่ว่าก็คือแฟนลับๆ ไปไหนด้วยกันปกติเที่ยวด้วยกันปกติ แต่ไม่เปิดเผย แต่หลังๆแม่เขาพี่สาวเขาก็รู้ว่ายังคบและไปไหนด้วยกันกับผมอยู่ ผมมีช่วงปี 67 เดือนเมษายนแฟนผมได้ทำการผ่าตัดบอลลูนที่หัวใจ เพราะเป็นโรคผนังหัวใจรั่ว ซึ่งคนที่คอยดูแลและแวะเวียนไปเยี่ยมให้ความช่วยเหลือระหว่างพักฟื้นในโรงพยาบาลมันก็คือผมซึ่งครอบครัวเขาก็รู้แล้วก็ขอบคุณผมเช่นกัน
***รู้สึกว่าเรื่องจะยาวมากๆขอสรุปแค่ใจความสำคัญบางหัวข้อนะครับ***
หลังจากคุยเรื่องแต่งงานกันช่วงคบกันได้เกือบปีแรกและลดสถานะลง ต่างคนต่างเศร้าและเสียใจเพราะครอบครัวไม่เห็นด้วย ทางบ้านผมก็ปลอบใจว่าไม่ได้แต่งก็อยู่ดูแลกันแบบนี้ไปเรื่อยไปนั้นแหละ ซึ่งผมก็ดูแลเขาแบบนี้มาเรื่อยๆ จนมาปี67 ผมจำไม่ได้ว่ามีช่วงเดือนไหนบ้าง วันนึงหลังเลิกงานผมได้โทรหาเขาตามปกติช่วงเย็น-ดึกๆ ปรากฎว่าผมโทรไปไม่รับสายทั้งช่องทางออนไลน์ทุกช่องที่ผมมีและเบอร์โทรศัพท์ 10กว่าสาย จนผมได้ไปที่ห้องเขาจึงได้รู้ว่าไม่อยู่ห้องจากนั่นได้โทรหาอีกหลายครั้งซึ่งก็ไม่รับ มันผิดปกติจนผมได้ค้นหาและเจอ IPADของแฟนผมจึงได้เปิดแชทต่างๆดูจนเจอว่ามีผู้ชายที่แฟนผมรู้จักได้ทำการชวนไปขับรถเล่นและถ่ายรูปที่สะพาน (สะพานพระรามอ่ะไรนี่แหละที่เขาฮิตไปถ่ายรูปกลางคืนกัน) ซึ่งผมก็พยายามโทรจนสุดท้ายติดและได้ถามนั่นนี่สุดท้ายผมบอกว่าผมเห็นแชททุกอย่างแล้ว ว่าไปอะไรที่ไหน ซึ่งก็วางใจเปาะนึงเขาไปกัน6คน ดีที่ไม่ใช่2-2 เพราะในนั้นก็มีผู้หญิงด้วยกันอยู่ แต่ผมก็โกรธเขาไปพักใหญ่ ซึ่งเขาก็ขอโทษแหละแต่ไม่กระตือรือร้นที่ง้อผมมากเท่าที่ผมเคยง้อเขาซักเท่าไหร่ เหตุการณ์ต่อมาจับเรื่องคนคุยในIG เจอว่ามีหลายคนแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นคนรู้จักและเพื่อนแถวๆบ้านแฟนผมเอง ผมก็งอลไปอีกรอบนึงเพราะส่วนใหญ่ก็ผู้ชายนี่แหละที่ทักมาคุยกันแฟนผมเอง แต่แฟนผมก็คุยนะ ซึ่งก็บอกอยู่ว่าคบกันผมอะไรก็ว่าไป แต่ผู้ชาย
#เดี๋ยวจะเล่าตามไทม์ไลน์เหตุการณ์ต่างๆที่ผมรู้และแฟนผมเปิดใจเล่าให้ฟังด้วยความซื่อสัตย์โเยไม่ปิดบังความลับต่อกัน **แฮะๆแต่ไม่ถนอมใจผมเท่าไหร่** ส่วนแฟนเล่าให้ฟัง บางเรื่องผมรู้เอง แต่เราจะเป็นเรื่องที่เจอในปี 68 ปี 67 ก็มีบ้างแต่จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆขอไม่ยกมาพูด
-1ในชายที่ตามตื๊อคุยตั้งแต่ปี66-68แฟนผมได้กลับบ้านตามเทศกาลอิสลาม ขาจะกลับกทม.ผู้ชายคนนี้ขอว่าอยากมาส่งที่สนามบิน+อยากเจอ ซึ่งแฟนผมก็ยอมให้เจอและมาส่งซึ่งก็ไม่มีไรมามาก เจอหน้าและคุยกันนิดหน่อย
-ผมมีเมลแฟนซึ่งไว้ช่วยทำไลฟ์ขายของซึ่งผมอาสาช่วยหลังบ้าน และได้ไปเจอรูปที่ถ่ายผู้ชายคนนึงที่ไปเที่ยวคาเฟ่ด้วยกัน ที่บ้านในภาคใต้ ซึ่งผมไม่เห็นหน้าเพราะก้มหน้าและใส่หมวกแก็ป
-แฟนไปสวนสาธารณะ ซึ่งผมได้โทรไปถามว่าไปไหนบอกผมแค่ว่าไปข้างนอก มารู้ทีหลังว่าไปสวนและไปกับผู้ชายซึ่งทีแรกนึกว่าไปกับเพื่อนผู้หญิง
-น้องในนามชวนไปกินร้านนั่งชิวคาเฟ่ ซึ่งนางก็บอกผมแล้วแหละผมก็ไปก็ไปสิ นานๆเจอกันนี่
-ผู้ชายรุ่นพี่ชวนไปเที่ยวทะเล ผมได้ถามอยู่ว่าหยุดหลายๆวันนี้ไปไหนซึ่งก็บอกกับผมว่าไปเที่ยวซึ่งก็ลงสตอรี่อะไรปกติแต่ไม่เห็นหน้าคนที่ไปเที่ยวด้วย ซื้อมาเฉลยกับผมทีหลังว่าไปกับรุ่นพี่ผู้ชายที่เขาชวนไปเที่ยว ซึ่งตอนแรกนางไม่ไป แต่ผู้ชายจองไว้ทุกอย่างแล้วก็เลยสงสารจึงยอมไป ไปโดยเช่ารถยนต์ขับไปมีค้างคืนแต่นอนเตียงแยกห้องเดียวกัน ซื้อมาเล่าให้ผมฟังว่าก็ผู้ชายจองไว้หมดแล้วจะไม่ไปก็สงสารเขา ซึ่งไปเที่ยวแฟนผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนี้ บอกกับผมอย่างนี้นะแต่ในใจจริงๆไม่รู้เป็นยังไง
#2 เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ผมยกมา จากการถูกเล่าให้ฟัง แล้วผมรู้สึกโกรธจริง#
-หลานของเพื่อน ขอมาเจอ นางมาเล่าให้ผมฟังว่าเออเนี่ยหลานเพื่อนเนี่ยมันทักมาคุยว่าอยากขอมาเจอที่ห้องได้ไหม ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงเวลาตี 1 ตี 2 ซึ่งแฟนผมก็ปฏิเสธไปหลายครั้งแต่ไอ้หลานของเพื่อนคนนั้นก็ตื้อไม่หยุด สุดท้ายก็ยอมให้มาเจอโดยก็มาเจอที่หอพักก็พาขึ้นห้องเหมือนพาขึ้นมานั่งคุยแหละ แต่ปรากฏว่าพอเข้าห้องแล้วปิดประตูไอ้หลานผู้ชายของเพื่อนสนิทแฟนผม มันปี่ตัวเข้ามาจูบปากผลักลงเตียง เหมือนเอาง่ายๆคือมาเย◌็ด เรื่องแฟนผมก็ผลักออก แล้วก็บอกว่าหยุดไม่ได้ ฉันจะบอกน้าเธอแม่เธอนะ สุดท้ายก็ทะเลาะกันอยู่นานก็ไล่ไอ้ผู้ชายคนนี้กลับได้ มาเล่าให้ผมฟังว่าก็ไม่ได้อะไรก็แค่จูบ โดยเรื่องนี้นางก็ได้บอกกับเพื่อนสนิทไปเรียบร้อยซึ่งเพื่อนสนิทนางก็ไม่คิดว่าหลานนางจะเป็นขนาดนี้ เรื่องนี้ผมโกรธมากผมบอกกับแฟนผมเลยว่าอย่าให้เจอหน้าอย่าต่อยหน้าคว่ำให้
-เรื่องเกิดขึ้นปี 68 กลับบ้านที่ใต้ทางครอบครัวไปเที่ยวทะเลแถวหาดใหญ่ เที่ยวเสร็จขากำลังจะจะกลับช่วงเย็น หนังตะลุงสตอรี่ในตามปกติมีเพื่อนนางที่เป็นตากล้องคนนึง ซึ่งก็สนิทกันตั้งแต่พอสมควรอาจจะสมัยเรียนก็ได้ ไม่ทักมาว่ามาเล่นหาดใหญ่หรอ มาเจอกันไหมขอไปหาได้ไหมมากินข้าวด้วยกัน (ซึ่งผู้ชายคนนี้อาศัยอยู่ที่หาดใหญ่คาดว่าทำงานอยู่ที่นี่) ซึ่งแฟนผมก็บอกกับครอบครัวว่าให้กลับก่อนเลย เพื่อนบอกอยากเจอเดี๋ยววันนี้ไปเจอเพื่อนกินข้าว เดี๋ยวจะนอนที่ห้องเพื่อนอีกคนนึงที่ทำงานอยู่ที่หาดใหญ่นี่แหละซึ่งผมได้ถามทีหลังว่าบอกกับครอบครัวนี่คือเพื่อนผู้หญิงใช่ไหมนางก็ตอบว่าใช่บอกกับครอบครัวว่าไปนอนกับเพื่อนผู้หญิง แต่จริงๆไปนอนกับผู้ชายคนนี้ ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็มารับแล้วก็พาไปกินข้าวขี่รถเล่นสุดท้ายดึก ผู้ชายคนนี้ได้เสนอว่าให้มานอนห้องเราเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าไปส่งที่บ้านพี่สาว ซึ่งพอถึงห้องผู้ชายแฟนผมก็ได้ทำการอาบน้ำแล้วบอกผู้ชายว่าจะใส่ชุดเล่นนะจะอาบน้ำแล้วนะจะนอนแล้วนะ ก็อาบน้ำอะไรเสร็จนอนเล่นที่เตียงเพราะหลังปิดไฟจะนอนผู้ชายคนนี้ก็เข้ามาจูบลวนลามตามร่างกายต่างๆซึ่งแฟนผมบอกว่าขัดขืนไม่ได้เลยแรงเยอะมาก คือผู้ชายคนนี้ก็ตั้งใจจะข่มขืนให้ได้นั่นแหละ ก็โดนจูบเอย ดูดหัว*** เลียจักแร้,น้องสาว ผมเข้าใจนะว่าผู้ชายแรงเยอะและขัดขืนไม่ได้ สุดท้ายก็ห้ามผู้ชายคนนั้นได้แล้วก็ด่าผู้ชายคนนั้นสารพัดจะทำแบบนี้ไม่ได้ฉันมาประจำเดือนอยู่และก็ไม่ยอมให้ทำ ผู้ชายคนนี้ก็บอกว่าฉันชอบมากกูหมั่นเขี้ยวปากกูอยากจูบมานานแล้ว เนี่ยฉันให้โอกาสเธอแล้วนะเธอจะไม่คว้าโอกาสไว้หรอเพราะฉันรักเธอฉันถึงให้โอกาสเธอแต่เธอไม่คว้าเอา
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจนะว่ารักแต่บอกว่าไม่คว้าโอกาสนี่หมายความว่ายังไงคือเจตนาแรกตั้งใจจะข่มขืน สุดท้ายแฟนผมก็ปฏิเสธจนผู้ชายคนนี้ก็ไปนอนอยู่ห้องนั่งเล่นสักพักใหญ่ๆได้แฟนผมก็บอกให้กลับเข้ามานอนในห้อง ซึ่งก็กลับมาในห้องเพราะตอนเช้าก็ไปส่งโดยที่ผู้ชายคนนี้ก็งอนไม่พูดไม่อะไรแฟนผมก็พยายามเหมือนแบบไม่อยากให้เขางอนอะไรอย่างนี้ก็ง้อระหว่างที่ขับรถกำลังจะไปส่งที่บ้านก็จับมือเธออย่างนั้นอย่างนี้เธอต้องเข้าใจฉันนะอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งแฟนผมก็มาบอกกับผมทีหลังหลังจากกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้วก็บอกว่าจริงๆเขาก็ชอบผู้ชายคนนี้อยู่ ซึ่งนางพูดโดยที่ไม่รักษาหัวใจของผมเลย
**ซึ่งสถานะผมและแฟนตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงานกันช่วงปี 67 ก็เป็นสถานะเพื่อนกึ่งแฟนสถานะกึ่งๆกำๆไม่ชัดเจนแต่เพื่อนก็ไม่จะแฟนก็ไม่แต่อยู่ด้วยกันไปไหนด้วยกันตลอด แล้วก็จะมีเรื่องปวดหัวปวดใจแบบนี้ให้ผมซึ่งหลายๆคนก็อาจจะคิดว่าผมควรตัดสินใจแล้วก็ไปหาคนใหม่ได้แล้วถ้าเจอเหตุการณ์ขณะนี้แต่หารู้ไม่ทั้งผมและแฟนผมต่างคนต่างไม่มีแฟนใหม่ไม่จีบใครจริงจังไม่คุยใครจริงจังต่างคนต่างละรั้งกันไว้โดยที่ยังรักกันอยู่แต่รู้ว่าครอบครัวไม่อนุญาต แต่หลังๆที่เจอเรื่องหนักๆที่ไปกับผู้ชายคนนั้นคนนี้ที่ชวนไปเที่ยวไปนอนห้องผู้ชายคนนั้นคนนี้ นางได้บอกกับผมว่าเป็นแบบนี้มานานแล้วรู้สึกว่าถ้าอยู่แบบนี้มันจะไม่คืบหน้าไปไหนผมเข้าใจว่าความคิดเขาอยู่กันแบบนี้มันก็ไม่ไปไหนเขาจึงไปเปิดใจลองดูกับผู้ชายคนอื่น