Analysis
การวิเคราะห์ระบบ UHC 2.0 ภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) ของ
ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล มุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความเหมาะสมของกลไกต่าง ๆ ของ
ระบบสาธารณสุข โดยแบ่งออกเป็นประเด็นสำคัญดังนี้
1. การประเมิน Blueprint ของ UHC 2.0
จากหลักการ 5 ข้อของ Sukavichinomics
1. เงินเพียงพอและยั่งยืน (Sustainable Financing)
◦ ระบบการคลัง 3 ชั้น (Three-pillar financing model) ทำให้มีแหล่งเงินหลายทาง ทั้ง
ภาษีพื้นฐาน ประกันสุขภาพตามอาชีพ และประกันเสริมสมัครใจ
◦ ลดความเสี่ยงการขาดงบและทำให้บริการพื้นฐานยังคงฟรีสำหรับทุกคน2. บริการคุณภาพดีใกล้บ้าน (Primary Care 2.0 + Telehealth)
◦ การมีคลินิกประจำครอบครัวและระบบนัดหมายทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ง่าย ลด
ความแออัดของโรงพยาบาลใหญ่
◦ การใช้ Telemedicine ช่วยเชื่อมบริการสุขภาพทั่วประเทศ
3. แรงจูงใจตรงกัน (Hospital Incentives)
◦ ระบบจ่ายผสม (Mixed Payment) เช่น Global Budget, DRG ปรับต้นทุนจริง,
Performance-based Payments และ Bundled Payment ส่งเสริมคุณภาพบริการและลด
ความเสี่ยงขาดทุนของโรงพยาบาล
4. ยืดหยุ่นตามจังหวัด (Provincial Autonomy)
◦ การจัดตั้ง Provincial Health Authority (PHA) ให้แต่ละจังหวัดบริหารงบและบริการ
ตามบริบทเฉพาะ ทำให้การจัดสรรทรัพยากรเหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่
5. ไม่เสียสิทธิรักษาฟรี (Equity)
◦ UHC 2.0 ยังคงให้บริการพื้นฐานฟรีสำหรับทุกคน แม้จะมีระบบการร่วมจ่ายเพิ่มเติม
2. การเปรียบเทียบโมเดลต่างประเทศ
• สิงคโปร์ (3-Account System)
◦ การใช้ระบบ 3 บัญชีช่วยให้คนทั่วไปร่วมจ่ายตามฐานะและรัฐช่วยเหลือคนจน 100%
◦ แนะนำให้ไทยปรับใช้ระบบการคลัง 3 ชั้นและมีความร่วมมือสำรองเงินสุขภาพ
• เยอรมนี (Statutory Health Insurance – SHI)
◦ ระบบประกันสุขภาพตามอาชีพ ส่งเสริมการแข่งขันเพื่อคุณภาพและลดภาระประชาชน
◦ เหมาะกับประเทศไทยที่มีแรงงานเอกชนจำนวนมาก
• ไต้หวัน (National Health Insurance – NHI)
◦ ระบบข้อมูลกลางและบัตรเดียวรักษาทุกแห่ง ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน
◦ ไทยสามารถใช้โมเดลนี้สำหรับบริหารข้อมูลสุขภาพและเทคโนโลยี AI/Big Data
• ญี่ปุ่น (Central Fund + Fair Cost Sharing)
◦ เหมาะสำหรับรองรับสังคมสูงวัยและโรคเรื้อรัง
◦ ประกันความยั่งยืนของโรงพยาบาลและระบบแรงงานแพทย์
3. การวิเคราะห์โมเดลงบประมาณใหม่UHC 2.0 แบ่งงบประมาณออกเป็น 5 ส่วน
1. งบพื้นฐาน (Basic Package – ภาษี)
◦ ให้บริการรักษาโรคพื้นฐาน ป้องกันโรค และบริการเด็ก/ผู้สูงอายุฟรี
2. งบตามอาชีพ (Occupational Contribution)
◦ แรงงานบริษัท ข้าราชการ และผู้ประกอบการสมทบตามรายได้ ลดภาระภาษีประชาชน
3. งบจังหวัดแบบยืดหยุ่น (Local Health Fund)
◦ รองรับความแตกต่างของแต่ละจังหวัด เช่น ชายแดน, ท่องเที่ยว, อุตสาหกรรม
4. งบเทคโนโลยีสุขภาพ (National Health Tech Fund)
◦ สนับสนุน AI, Telemedicine, Data Center และ Health ID
5. งบโรคเรื้อรังเฉพาะทาง (Chronic Care Pool)
◦ แยกออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว ลดความเสี่ยงทางการเงินและเพิ่มคุณภาพการรักษา
4. การวิเคราะห์โครงสร้างกระจายอำนาจให้จังหวัด
• การจัดตั้ง PHA ทำให้แต่ละจังหวัดสามารถจัดสรรงบ วางแผน และควบคุมคุณภาพบริการได้
เอง
• ระบบแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลเน้น คุณภาพและความพึงพอใจของผู้ป่วย แทนการตัดต้นทุน
• การมีบทบาทของ อปท. ช่วยสนับสนุนคลินิกชุมชนและระบบปฐมภูมิ
5. ข้อสรุปเชิงวิเคราะห์
• UHC 2.0 ภายใต้ Sukavichinomics ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน
มีแรงจูงใจเชิงคุณภาพ กระจายอำนาจจังหวัด รองรับโรคเรื้อรัง เทคโนโลยี และสังคมสูงวัย
• แตกต่างอย่างชัดเจนจากระบบ 30 บาทเดิม และระบบรวมศูนย์แบบเดิม
• การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและเชิงปรัชญายืนยันว่า UHC 2.0 สอดคล้องกับหลัก “สร้างคน
สร้างชาติ ด้วยการศึกษาและการบริหารอย่างเป็นรูปธรรม”
Discussion and Results
การวิเคราะห์ผลลัพธ์และอภิปรายของ UHC 2.0 ภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
(Sukavichinomics) ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จและความเหมาะสมของระบบ
ใหม่ในหลายมิติ1. ผลลัพธ์เชิงระบบและการเข้าถึงบริการ
• การจัดตั้งระบบการคลัง 3 ชั้น ทำให้ เงินทุนเพียงพอและยั่งยืน
◦ ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานฟรี
◦ ลดความเสี่ยงด้านการเงินของโรงพยาบาล
◦ การประกันเสริมสมัครใจช่วยลดภาระภาษีโดยยังคงรักษาความยุติธรรม (Equity)
• Primary Care 2.0 และ Community Clinics
◦ ผู้ป่วยเข้าถึงบริการใกล้บ้าน
◦ ลดความแออัดของโรงพยาบาลใหญ่
◦ เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามโรคเรื้อรังและการป้องกันโรค
• National Health IT Spine
◦ บัตรเดียวสามารถใช้ได้ทุกจังหวัด ลดปัญหา “สิทธิอยู่ต่างจังหวัด”
◦ การใช้ AI และ Telemedicine เพิ่มความสะดวก ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน
2. ผลลัพธ์ด้านแรงจูงใจและคุณภาพบริการ
• ระบบจ่ายผสม (Mixed Payment)
◦ Global Budget และ DRG ปรับต้นทุนจริงช่วยลดความเสี่ยงขาดทุน
◦ Performance-based และ Bundled Payment ส่งเสริมคุณภาพและการดูแลโรคเรื้อรัง
◦ กระตุ้นโรงพยาบาลแข่งขันด้านคุณภาพบริการแทนการแข่งขันตัดต้นทุน
• ระบบแรงงานแพทย์ใหม่
◦ Career ladder และแรงจูงใจสำหรับพื้นที่ขาดแคลนเพิ่มความคงอยู่ของบุคลากร
◦ ลดงานเอกสาร เพิ่มเวลาการรักษาผู้ป่วย
3. ผลลัพธ์ด้านการกระจายอำนาจ
• Provincial Health Authority (PHA)
◦ จังหวัดสามารถบริหารงบและบริการตามบริบทเฉพาะ
◦ ลดความไม่เท่าเทียมระหว่างจังหวัด และเพิ่มความยืดหยุ่นในระบบสาธารณสุข
◦ การมีบทบาทของ อปท. ช่วยสนับสนุนคลินิกชุมชนและระบบปฐมภูมิ• ระบบการแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลเน้น คุณภาพและความพึงพอใจของผู้ป่วย
◦ ลดปัญหา “รอคิวนาน” และบริการไม่สม่ำเสมอ
◦ ระบบ Refer และการติดตามโรคมีประสิทธิภาพ
4. การเปรียบเทียบกับระบบต่างประเทศ
• สิงคโปร์: ระบบ 3 บัญชีช่วยรัฐและประชาชนร่วมจ่ายอย่างยุติธรรม
• เยอรมนี: ระบบประกันตามอาชีพเหมาะกับประเทศไทยที่มีแรงงานจำนวนมาก
• ไต้หวัน: ข้อมูลกลางและ AI ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารจัดการได้ดี
• ญี่ปุ่น: ระบบเงินกองกลาง + การร่วมจ่ายที่เป็นธรรม รองรับสังคมสูงวัย
ผลลัพธ์สรุป:
• UHC 2.0 ภายใต้ Sukavichinomics ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน
• ยังคงสิทธิรักษาพื้นฐานฟรี แต่แก้ปัญหาระบบ 30 บาทเดิม
• รองรับโรคเรื้อรัง เทคโนโลยีแพง และสังคมสูงวัย
• กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์
• มีแรงจูงใจเชิงคุณภาพ จังหวัดบริหารเอง โรงพยาบาลไม่ล้ม บุคลากรไม่หนีออกจากระบบ
5. ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ
• ควรติดตามผล ความพึงพอใจของผู้ป่วย และ ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ในแต่ละจังหวัด
• การใช้เทคโนโลยี AI และ Telemedicine ต้องวางระบบข้อมูลกลางอย่างเข้มแข็ง
• การปรับใช้โมเดลต่างประเทศควรพิจารณาบริบทไทยและหลักปรัชญา สร้างคน สร้างชาติ
ด้วยการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม
ระบบสุขภาพแห่งชาติแบบยั่งยืน UHC 2.0 (ตอนที่ 3)
การวิเคราะห์ระบบ UHC 2.0 ภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) ของ
ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล มุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความเหมาะสมของกลไกต่าง ๆ ของ
ระบบสาธารณสุข โดยแบ่งออกเป็นประเด็นสำคัญดังนี้
1. การประเมิน Blueprint ของ UHC 2.0
จากหลักการ 5 ข้อของ Sukavichinomics
1. เงินเพียงพอและยั่งยืน (Sustainable Financing)
◦ ระบบการคลัง 3 ชั้น (Three-pillar financing model) ทำให้มีแหล่งเงินหลายทาง ทั้ง
ภาษีพื้นฐาน ประกันสุขภาพตามอาชีพ และประกันเสริมสมัครใจ
◦ ลดความเสี่ยงการขาดงบและทำให้บริการพื้นฐานยังคงฟรีสำหรับทุกคน2. บริการคุณภาพดีใกล้บ้าน (Primary Care 2.0 + Telehealth)
◦ การมีคลินิกประจำครอบครัวและระบบนัดหมายทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ง่าย ลด
ความแออัดของโรงพยาบาลใหญ่
◦ การใช้ Telemedicine ช่วยเชื่อมบริการสุขภาพทั่วประเทศ
3. แรงจูงใจตรงกัน (Hospital Incentives)
◦ ระบบจ่ายผสม (Mixed Payment) เช่น Global Budget, DRG ปรับต้นทุนจริง,
Performance-based Payments และ Bundled Payment ส่งเสริมคุณภาพบริการและลด
ความเสี่ยงขาดทุนของโรงพยาบาล
4. ยืดหยุ่นตามจังหวัด (Provincial Autonomy)
◦ การจัดตั้ง Provincial Health Authority (PHA) ให้แต่ละจังหวัดบริหารงบและบริการ
ตามบริบทเฉพาะ ทำให้การจัดสรรทรัพยากรเหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่
5. ไม่เสียสิทธิรักษาฟรี (Equity)
◦ UHC 2.0 ยังคงให้บริการพื้นฐานฟรีสำหรับทุกคน แม้จะมีระบบการร่วมจ่ายเพิ่มเติม
2. การเปรียบเทียบโมเดลต่างประเทศ
• สิงคโปร์ (3-Account System)
◦ การใช้ระบบ 3 บัญชีช่วยให้คนทั่วไปร่วมจ่ายตามฐานะและรัฐช่วยเหลือคนจน 100%
◦ แนะนำให้ไทยปรับใช้ระบบการคลัง 3 ชั้นและมีความร่วมมือสำรองเงินสุขภาพ
• เยอรมนี (Statutory Health Insurance – SHI)
◦ ระบบประกันสุขภาพตามอาชีพ ส่งเสริมการแข่งขันเพื่อคุณภาพและลดภาระประชาชน
◦ เหมาะกับประเทศไทยที่มีแรงงานเอกชนจำนวนมาก
• ไต้หวัน (National Health Insurance – NHI)
◦ ระบบข้อมูลกลางและบัตรเดียวรักษาทุกแห่ง ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน
◦ ไทยสามารถใช้โมเดลนี้สำหรับบริหารข้อมูลสุขภาพและเทคโนโลยี AI/Big Data
• ญี่ปุ่น (Central Fund + Fair Cost Sharing)
◦ เหมาะสำหรับรองรับสังคมสูงวัยและโรคเรื้อรัง
◦ ประกันความยั่งยืนของโรงพยาบาลและระบบแรงงานแพทย์
3. การวิเคราะห์โมเดลงบประมาณใหม่UHC 2.0 แบ่งงบประมาณออกเป็น 5 ส่วน
1. งบพื้นฐาน (Basic Package – ภาษี)
◦ ให้บริการรักษาโรคพื้นฐาน ป้องกันโรค และบริการเด็ก/ผู้สูงอายุฟรี
2. งบตามอาชีพ (Occupational Contribution)
◦ แรงงานบริษัท ข้าราชการ และผู้ประกอบการสมทบตามรายได้ ลดภาระภาษีประชาชน
3. งบจังหวัดแบบยืดหยุ่น (Local Health Fund)
◦ รองรับความแตกต่างของแต่ละจังหวัด เช่น ชายแดน, ท่องเที่ยว, อุตสาหกรรม
4. งบเทคโนโลยีสุขภาพ (National Health Tech Fund)
◦ สนับสนุน AI, Telemedicine, Data Center และ Health ID
5. งบโรคเรื้อรังเฉพาะทาง (Chronic Care Pool)
◦ แยกออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว ลดความเสี่ยงทางการเงินและเพิ่มคุณภาพการรักษา
4. การวิเคราะห์โครงสร้างกระจายอำนาจให้จังหวัด
• การจัดตั้ง PHA ทำให้แต่ละจังหวัดสามารถจัดสรรงบ วางแผน และควบคุมคุณภาพบริการได้
เอง
• ระบบแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลเน้น คุณภาพและความพึงพอใจของผู้ป่วย แทนการตัดต้นทุน
• การมีบทบาทของ อปท. ช่วยสนับสนุนคลินิกชุมชนและระบบปฐมภูมิ
5. ข้อสรุปเชิงวิเคราะห์
• UHC 2.0 ภายใต้ Sukavichinomics ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน
มีแรงจูงใจเชิงคุณภาพ กระจายอำนาจจังหวัด รองรับโรคเรื้อรัง เทคโนโลยี และสังคมสูงวัย
• แตกต่างอย่างชัดเจนจากระบบ 30 บาทเดิม และระบบรวมศูนย์แบบเดิม
• การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและเชิงปรัชญายืนยันว่า UHC 2.0 สอดคล้องกับหลัก “สร้างคน
สร้างชาติ ด้วยการศึกษาและการบริหารอย่างเป็นรูปธรรม”
Discussion and Results
การวิเคราะห์ผลลัพธ์และอภิปรายของ UHC 2.0 ภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
(Sukavichinomics) ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จและความเหมาะสมของระบบ
ใหม่ในหลายมิติ1. ผลลัพธ์เชิงระบบและการเข้าถึงบริการ
• การจัดตั้งระบบการคลัง 3 ชั้น ทำให้ เงินทุนเพียงพอและยั่งยืน
◦ ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานฟรี
◦ ลดความเสี่ยงด้านการเงินของโรงพยาบาล
◦ การประกันเสริมสมัครใจช่วยลดภาระภาษีโดยยังคงรักษาความยุติธรรม (Equity)
• Primary Care 2.0 และ Community Clinics
◦ ผู้ป่วยเข้าถึงบริการใกล้บ้าน
◦ ลดความแออัดของโรงพยาบาลใหญ่
◦ เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามโรคเรื้อรังและการป้องกันโรค
• National Health IT Spine
◦ บัตรเดียวสามารถใช้ได้ทุกจังหวัด ลดปัญหา “สิทธิอยู่ต่างจังหวัด”
◦ การใช้ AI และ Telemedicine เพิ่มความสะดวก ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน
2. ผลลัพธ์ด้านแรงจูงใจและคุณภาพบริการ
• ระบบจ่ายผสม (Mixed Payment)
◦ Global Budget และ DRG ปรับต้นทุนจริงช่วยลดความเสี่ยงขาดทุน
◦ Performance-based และ Bundled Payment ส่งเสริมคุณภาพและการดูแลโรคเรื้อรัง
◦ กระตุ้นโรงพยาบาลแข่งขันด้านคุณภาพบริการแทนการแข่งขันตัดต้นทุน
• ระบบแรงงานแพทย์ใหม่
◦ Career ladder และแรงจูงใจสำหรับพื้นที่ขาดแคลนเพิ่มความคงอยู่ของบุคลากร
◦ ลดงานเอกสาร เพิ่มเวลาการรักษาผู้ป่วย
3. ผลลัพธ์ด้านการกระจายอำนาจ
• Provincial Health Authority (PHA)
◦ จังหวัดสามารถบริหารงบและบริการตามบริบทเฉพาะ
◦ ลดความไม่เท่าเทียมระหว่างจังหวัด และเพิ่มความยืดหยุ่นในระบบสาธารณสุข
◦ การมีบทบาทของ อปท. ช่วยสนับสนุนคลินิกชุมชนและระบบปฐมภูมิ• ระบบการแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลเน้น คุณภาพและความพึงพอใจของผู้ป่วย
◦ ลดปัญหา “รอคิวนาน” และบริการไม่สม่ำเสมอ
◦ ระบบ Refer และการติดตามโรคมีประสิทธิภาพ
4. การเปรียบเทียบกับระบบต่างประเทศ
• สิงคโปร์: ระบบ 3 บัญชีช่วยรัฐและประชาชนร่วมจ่ายอย่างยุติธรรม
• เยอรมนี: ระบบประกันตามอาชีพเหมาะกับประเทศไทยที่มีแรงงานจำนวนมาก
• ไต้หวัน: ข้อมูลกลางและ AI ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารจัดการได้ดี
• ญี่ปุ่น: ระบบเงินกองกลาง + การร่วมจ่ายที่เป็นธรรม รองรับสังคมสูงวัย
ผลลัพธ์สรุป:
• UHC 2.0 ภายใต้ Sukavichinomics ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน
• ยังคงสิทธิรักษาพื้นฐานฟรี แต่แก้ปัญหาระบบ 30 บาทเดิม
• รองรับโรคเรื้อรัง เทคโนโลยีแพง และสังคมสูงวัย
• กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์
• มีแรงจูงใจเชิงคุณภาพ จังหวัดบริหารเอง โรงพยาบาลไม่ล้ม บุคลากรไม่หนีออกจากระบบ
5. ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ
• ควรติดตามผล ความพึงพอใจของผู้ป่วย และ ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ในแต่ละจังหวัด
• การใช้เทคโนโลยี AI และ Telemedicine ต้องวางระบบข้อมูลกลางอย่างเข้มแข็ง
• การปรับใช้โมเดลต่างประเทศควรพิจารณาบริบทไทยและหลักปรัชญา สร้างคน สร้างชาติ
ด้วยการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม