เข้าใจความรู้สึกของคนหาดใหญ่เลย เพราะอำเภอหาดใหญ่ ถือว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ เรียกว่าเจริญกว่าตัวเมืองสงขลาเสียอีก จากที่ค้นข้อมูลใน google gemini พบว่าน้ำท่วมใหญ่เมืองหาดใหญ่ในปี 2531, 2543, 2553 มาจากฝนตกแช่เป็นส่วนมาก ซึ่งในปี 2543 มีปัญหาสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางน้ำ แต่ปี 2553 ปัญหาเดิมไม่หมดไป แต่คลอง ร.1 ช่วยบรรเทาปัญหาได้ระดับหนึ่ง ทำให้น้ำไปเร็ว
ในปี 2568 นอกจากฝนตกแช่แล้ว ยังมีปัญหาน้ำหลากจากเทือกเขาสันกาลาคีรี ซึ่งต้นน้ำต่างๆ จะอยู่ทางนี้ และสภาพภูมิประเทศของเมืองหาดใหญ่เป็นแอ่งกระทะ ทำให้น้ำจากเทือกเขาสันกาลาคีรีไหลมาสมทบกับน้ำจากฝนที่ตกแช่ ทำให้น้ำท่วมสูงกว่าปี 2553 ซึ่งภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นคือบ้านชั้นเดียวมิดหลังคา และการกักตุนอาหารล่วงหน้าไม่สามารถทำได้ เพราะระบบการแจ้งเตือนของทางราชการล่าช้า
ย้อนไปปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ กทม.และปริมณฑล โดนน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าต่อให้ดีเพียงใด การคาดการณ์ว่าน้ำจะสูง 2 เมตร เป็นสิ่งที่คน กทม. และปริมณฑลไม่เคยเห็น ผมเองมีประสบการณ์ตรงในจุดนี้ ตอนแรกคิดว่า เตรียมอาหารแห้งกักตุนไว้คิดว่า 7 วันรอดแน่นอน น้ำท่วมอย่างมากก็แค่ท้องรถ 4 ล้อนี่แหละ ที่ไหนได้โดนไป 1 เมตรครึ่ง เครียดมากตอนนั้น ต้องหนีน้ำไปอยู่ต่างจังหวัด เลยได้ข้อคิด สมัยก่อนว่าพื้นที่ภาคกลางทั้งหมดเดือน 11 น้ำนอง เดือน 12 น้ำทรง เดือนอ้าย เดือนยี่ น้ำก็รี่ไหลลง พอน้ำลดหลายคนกลับเข้ามาสภาพดูไม่จืด แถวบ้านผมบางคนชายบ้านหนีน้ำท่วม ชนิดที่เรียกว่ายอมขายขาดทุนไปเลย ปล่อยจมน้ำประมาณเดือนครึ่ง
กลับไปที่หาดใหญ่ พอเห็นข่าวน้ำท่วมปี 2568 แล้วเข้าใจความรู้สึก บางพื้นที่น้ำลดแล้ว ภาพที่แชร์ในโซเชี่ยลมีเดียไม่ต่างจาก กทม.ตอนปี 2554 พวกเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้อัด ต้องขนไปทิ้งเลย เครื่องใช้ไฟฟ้าถ้าซ่อมไม่ได้ต้องขายทอดตลาดไป รถยนต์ รอประกันมาเคลมอย่างเดียว
อีกเรื่องคนที่ทนอยู่ตามบ้านที่สูง 2ชั้นขึ้นไป ต้องนับถือหัวจิตหัวใจจริงๆ เพราะน้ำไม่ไหล ไฟฟ้าโดนตัด อาหารก็ไม่มี หรือมีแต่ปรุงไม่ได้ อยู่กันลำบาก เป็นผมก็ตามประสบการณ์ปี 2554 แหละ
ทางแก้ปัญหาระยะยาว ต้นน้ำต้องมีฝายชะลอน้ำ กลางน้ำต้องเพิ่มแก้มลิง และรื้อสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางน้ำออก ปลายน้ำ การระบายน้ำต้องไม่มีอุปสรรค ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากศูนย์ศึกษาโครงการพระราดำริห้วยฮ่องไคร้
จากน้ำท่วม กทม.ปริมณฑล ปี54 ถึงน้ำท่วมหาดใหญ่ ปี68
ในปี 2568 นอกจากฝนตกแช่แล้ว ยังมีปัญหาน้ำหลากจากเทือกเขาสันกาลาคีรี ซึ่งต้นน้ำต่างๆ จะอยู่ทางนี้ และสภาพภูมิประเทศของเมืองหาดใหญ่เป็นแอ่งกระทะ ทำให้น้ำจากเทือกเขาสันกาลาคีรีไหลมาสมทบกับน้ำจากฝนที่ตกแช่ ทำให้น้ำท่วมสูงกว่าปี 2553 ซึ่งภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นคือบ้านชั้นเดียวมิดหลังคา และการกักตุนอาหารล่วงหน้าไม่สามารถทำได้ เพราะระบบการแจ้งเตือนของทางราชการล่าช้า
ย้อนไปปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ กทม.และปริมณฑล โดนน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าต่อให้ดีเพียงใด การคาดการณ์ว่าน้ำจะสูง 2 เมตร เป็นสิ่งที่คน กทม. และปริมณฑลไม่เคยเห็น ผมเองมีประสบการณ์ตรงในจุดนี้ ตอนแรกคิดว่า เตรียมอาหารแห้งกักตุนไว้คิดว่า 7 วันรอดแน่นอน น้ำท่วมอย่างมากก็แค่ท้องรถ 4 ล้อนี่แหละ ที่ไหนได้โดนไป 1 เมตรครึ่ง เครียดมากตอนนั้น ต้องหนีน้ำไปอยู่ต่างจังหวัด เลยได้ข้อคิด สมัยก่อนว่าพื้นที่ภาคกลางทั้งหมดเดือน 11 น้ำนอง เดือน 12 น้ำทรง เดือนอ้าย เดือนยี่ น้ำก็รี่ไหลลง พอน้ำลดหลายคนกลับเข้ามาสภาพดูไม่จืด แถวบ้านผมบางคนชายบ้านหนีน้ำท่วม ชนิดที่เรียกว่ายอมขายขาดทุนไปเลย ปล่อยจมน้ำประมาณเดือนครึ่ง
กลับไปที่หาดใหญ่ พอเห็นข่าวน้ำท่วมปี 2568 แล้วเข้าใจความรู้สึก บางพื้นที่น้ำลดแล้ว ภาพที่แชร์ในโซเชี่ยลมีเดียไม่ต่างจาก กทม.ตอนปี 2554 พวกเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้อัด ต้องขนไปทิ้งเลย เครื่องใช้ไฟฟ้าถ้าซ่อมไม่ได้ต้องขายทอดตลาดไป รถยนต์ รอประกันมาเคลมอย่างเดียว
อีกเรื่องคนที่ทนอยู่ตามบ้านที่สูง 2ชั้นขึ้นไป ต้องนับถือหัวจิตหัวใจจริงๆ เพราะน้ำไม่ไหล ไฟฟ้าโดนตัด อาหารก็ไม่มี หรือมีแต่ปรุงไม่ได้ อยู่กันลำบาก เป็นผมก็ตามประสบการณ์ปี 2554 แหละ
ทางแก้ปัญหาระยะยาว ต้นน้ำต้องมีฝายชะลอน้ำ กลางน้ำต้องเพิ่มแก้มลิง และรื้อสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางน้ำออก ปลายน้ำ การระบายน้ำต้องไม่มีอุปสรรค ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากศูนย์ศึกษาโครงการพระราดำริห้วยฮ่องไคร้