สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ทุกคน
วันนี้อยากจะมาแชร์ความรู้สึกส่วนตัวในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ เกี่ยวกับเรื่อง "ค่าครองชีพ" ที่ช่วงนี้ดูเหมือนจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนหลายคนบ่นอุบกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานประจำ พ่อค้าแม่ค้า หรือนักศึกษา ทุกคนน่าจะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้เหมือนๆ กัน
💸 สิ่งที่เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่สุดในชีวิตประจำวันของฉัน คือ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปค่ะ
อาหารการกิน: เมื่อก่อนเวลาเดินเข้าตลาดหรือร้านอาหารตามสั่ง การหาข้าวจานเดียวราคา 40-50 บาท ยังเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ถ้าจะกินให้อิ่มท้องแบบครบเครื่อง อาจจะต้องจ่ายเริ่มต้นที่ 60-70 บาท ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ เลย ส่วนใครที่ชอบอาหารฟาสต์ฟู้ดหรือร้านกาแฟแก้วโปรด ก็รู้สึกว่าราคาขยับขึ้นไปอีกหน่อยแล้ว จะซื้อวัตถุดิบมาทำกินเองอย่าง เนื้อหมู หรือ ผัก บางชนิดก็มีช่วงที่ราคาแกว่งขึ้นลงแรงมาก
ค่าเดินทาง: ราคาน้ำมัน เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกคน ใครที่ขับรถส่วนตัวก็คงรู้สึกว่าต้องจ่ายค่าน้ำมันถี่ขึ้น ส่วนคนที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ หรือรถไฟฟ้า แม้ว่าค่าโดยสารอาจจะไม่ได้ขึ้นบ่อยเท่าราคาน้ำมัน แต่เมื่อรวมกับค่าเดินทางรายวันที่เพิ่มขึ้นมา ก็เป็นภาระที่หนักอึ้งไม่น้อยเลย
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่ารักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่ง ค่าเช่าที่พัก ในย่านดีๆ ก็ยังคงสูงลิ่ว ทำให้คนทำงานที่รายได้เท่าเดิมต้องวางแผนการเงินกันอย่างเคร่งครัดขึ้น
🤔 ความท้าทายของ "รายได้" ที่สวนทางกับ "รายจ่าย"
ปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้เรารู้สึกว่าค่าครองชีพสูง คือ "รายได้" ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม "รายจ่าย"ค่ะ
สำหรับคนส่วนใหญ่ อัตราเงินเดือน หรือ รายได้ต่อวัน ไม่ได้มีการปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ อัตราเงินเฟ้อ ดันสินค้าทุกอย่างให้แพงขึ้น ทำให้ อำนาจซื้อของเงินในกระเป๋าลดลงอย่างมาก พูดง่ายๆ คือ เงินจำนวนเท่าเดิม ซื้อของได้น้อยลง
“รู้สึกเหมือนทำงานหนักขึ้น แต่คุณภาพชีวิตไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะซื้ออะไรที่ไม่จำเป็นจริงๆ”
💡 มุมมองและการรับมือส่วนตัว
ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผม/ฉันคิดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่เราทุกคนต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย: สำคัญมาก! เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าเงินเราไปอยู่ตรงไหนบ้าง และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป
เลือกซื้ออย่างฉลาด: เปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หันไปซื้อของจากตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง หรือเลือกเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะในบางวัน
หารายได้เสริม: หลายคนหันไปทำอาชีพเสริม หรืองานฟรีแลนซ์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้ตัวเอง
สรุป
ค่าครองชีพในประเทศไทยตอนนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายจริงๆค่ะ และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพวกเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าในอนาคตอันใกล้ กลไกทางเศรษฐกิจของประเทศจะสามารถสร้างความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายได้ดีขึ้น เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมั่นคงในประเทศบ้านเกิดของเราค่ะ
ความรู้สึกถึง "ค่าครองชีพ" ในประเทศไทยตอนนี้