
28 Years Later ภาคต่อที่รอคอย... สยองขวัญวันสิ้นโลกแบบไม่ให้พักหายใจ!
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีรีวิวภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยมานาน นั่นก็คือ "28 Years Later" ครับ หลังจากที่ภาคแรก "28 Days Later" และภาคต่อ "28 Weeks Later" ทิ้งปมไว้ให้คิดถึงความสยองขวัญของเชื้อไวรัส RAGE กันมานาน ในที่สุดเราก็ได้กลับมาเจอโลกที่เกือบจะล่มสลายอีกครั้ง บอกเลยว่าภาคนี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ครับ ใครเป็นแฟนหนังซอมบี้ หรือใครที่ชอบความตื่นเต้นระทึกขวัญ ผมแนะนำให้รีบไปดูกันเลยครับ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมเองก็เป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ภาคแรกเลยครับ จำได้เลยว่าตอนดู "28 Days Later" ครั้งแรกนี่ขนลุกซู่ไปทั้งตัวกับความโหด ดิบ เถื่อนของพวกติดเชื้อที่วิ่งเร็วราวกับสายฟ้า แถมยังไล่ล่าแบบไม่ยอมปล่อย ยิ่งตอนที่เห็นฉากในโบสถ์นี่แทบจะหลับตาปี๋เลยทีเดียว พอมาถึงภาค "28 Weeks Later" ก็ยังคงความตื่นเต้นเอาไว้ได้ดี แม้จะรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่ก็ยังคงความโหดและบรรยากาศที่กดดันได้อยู่ครับ
และแล้ว... 28 ปีผ่านไป! การรอคอยอันยาวนานก็สิ้นสุดลงใน "28 Years Later" ครับ พอได้เห็นตัวอย่างหนังครั้งแรก ผมก็เริ่มตั้งความหวังไว้สูงเลยว่าผู้กำกับ Danny Boyle จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งรึเปล่า และคำตอบคือ... "ใช่ครับ!" ภาคนี้เหมือนเป็นการยกระดับความสยองขวัญให้ไปอีกขั้นเลยก็ว่าได้ครับ
เรื่องราวในภาคนี้จะพาเราไปพบกับโลกที่เวลาผ่านไป 28 ปี หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก สังคมมนุษย์พยายามที่จะฟื้นฟูและสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่ ผู้คนเริ่มกลับมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของกองทัพและหน่วยงานต่างๆ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เชื้อไวรัส RAGE ก็ยังคงเป็นฝันร้ายที่พร้อมจะกลับมาหลอกหลอนได้ทุกเมื่อครับ
ตัวละครหลักในภาคนี้จะเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้ พวกเขาไม่เคยรู้จักโลกก่อนที่จะมีไวรัสระบาดเลย การเอาชีวิตรอดคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา และเมื่อเหตุการณ์บางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น การเดินทางเพื่อเอาชีวิตรอดของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับความอันตรายที่คาดเดาไม่ได้
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในภาคนี้คือ "ความสมจริง" ครับ ถึงแม้จะเป็นหนังแนวซอมบี้ แต่ผู้กำกับก็ยังคงรักษามาตรฐานในการนำเสนอความโหดร้ายของสถานการณ์ได้อย่างน่าเชื่อถือ การที่เวลาผ่านไป 28 ปี ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะสงบสุขนะครับ ตรงกันข้าม มันเหมือนกับว่ามนุษย์ได้สร้าง "กับดัก" ขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว
พวกติดเชื้อในภาคนี้ก็ยังคงความน่ากลัวเหมือนเดิมครับ ยังคงความเร็ว ความดุร้าย และความกระหายเลือด แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ "ความฉลาด" ของพวกมันที่ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นตามกาลเวลา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพวกมันได้วิวัฒนาการมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตรายมานาน ทำให้พวกมันมีความสามารถในการปรับตัวและมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ฉากไล่ล่าในภาคนี้ทำออกมาได้ลุ้นระทึกมากๆ ครับ มีทั้งฉากที่ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดแบบตะโกนลั่นโรง และฉากที่ต้องใช้ไหวพริบในการหลบซ่อนตัว
อีกจุดที่น่าสนใจคือ "การเล่าเรื่อง" ครับ ภาคนี้มีการตัดสลับระหว่างอดีตและปัจจุบันได้อย่างลงตัว ทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ของการระบาด ทำให้เราเห็นภาพความวุ่นวายและความสิ้นหวังของมนุษย์ในตอนนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การแสดงของนักแสดงก็ทำได้ดีครับ โดยเฉพาะนักแสดงนำหลักที่ถ่ายทอดอารมณ์ความกลัว ความหวัง และความเด็ดเดี่ยวของตัวละครออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ ทำให้เราเอาใจช่วยพวกเขาตลอดทั้งเรื่อง บรรยากาศโดยรวมของหนังก็ทำออกมาได้กดดัน หดหู่ และมีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่ได้ดูเวอร์วังจนเกินไป
แน่นอนว่าในฐานะหนังสยองขวัญ "28 Years Later" ก็มีฉากที่น่ากลัวและรุนแรงอยู่พอสมควรครับ ใครที่ไม่ชอบฉากเลือดสาด หรือฉากที่โหดร้ายมากๆ อาจจะต้องเตรียมใจไปก่อนนะครับ แต่สำหรับผม ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความสมจริงและน่าจดจำ
สิ่งที่ผมสังเกตได้อีกอย่างคือ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นแค่ความสยองขวัญอย่างเดียวครับ มันยังมีการสะท้อนประเด็นทางสังคมและจิตวิทยาของมนุษย์ในภาวะวิกฤตด้วย การที่เราต้องอยู่รอดท่ามกลางความตาย การสูญเสีย และความไม่แน่นอน ทำให้เราเห็นด้านที่ทั้งดีและร้ายของมนุษย์ออกมา
สรุปแล้ว "28 Years Later" เป็นภาพยนตร์ที่คุ้มค่าแก่การรอคอยจริงๆ ครับ มันคือการกลับมาที่แข็งแกร่งของแฟรนไชส์ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เอาไว้ มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ และความสยองขวัญที่จัดเต็มไม่ยั้ง ใครที่เป็นแฟนภาคเก่า หรือใครที่กำลังมองหาหนังแนวซอมบี้ที่เข้มข้น ผมแนะนำให้ไปดูเลยครับ รับรองว่านั่งไม่ติดเบาะแน่นอน
ใครที่ไปดูกันมาแล้ว มาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ หรือใครที่กำลังลังเล ผมว่าลองเปิดใจดูสักครั้ง แล้วคุณอาจจะติดใจเหมือนผมก็ได้ครับ!
ขอบคุณครับที่อ่านรีวิวของผมครับ.
28 Years Later ภาคต่อที่รอคอย... สยองขวัญวันสิ้นโลกแบบไม่ให้พักหายใจ!
28 Years Later ภาคต่อที่รอคอย... สยองขวัญวันสิ้นโลกแบบไม่ให้พักหายใจ!
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีรีวิวภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยมานาน นั่นก็คือ "28 Years Later" ครับ หลังจากที่ภาคแรก "28 Days Later" และภาคต่อ "28 Weeks Later" ทิ้งปมไว้ให้คิดถึงความสยองขวัญของเชื้อไวรัส RAGE กันมานาน ในที่สุดเราก็ได้กลับมาเจอโลกที่เกือบจะล่มสลายอีกครั้ง บอกเลยว่าภาคนี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ครับ ใครเป็นแฟนหนังซอมบี้ หรือใครที่ชอบความตื่นเต้นระทึกขวัญ ผมแนะนำให้รีบไปดูกันเลยครับ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมเองก็เป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ภาคแรกเลยครับ จำได้เลยว่าตอนดู "28 Days Later" ครั้งแรกนี่ขนลุกซู่ไปทั้งตัวกับความโหด ดิบ เถื่อนของพวกติดเชื้อที่วิ่งเร็วราวกับสายฟ้า แถมยังไล่ล่าแบบไม่ยอมปล่อย ยิ่งตอนที่เห็นฉากในโบสถ์นี่แทบจะหลับตาปี๋เลยทีเดียว พอมาถึงภาค "28 Weeks Later" ก็ยังคงความตื่นเต้นเอาไว้ได้ดี แม้จะรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่ก็ยังคงความโหดและบรรยากาศที่กดดันได้อยู่ครับ
และแล้ว... 28 ปีผ่านไป! การรอคอยอันยาวนานก็สิ้นสุดลงใน "28 Years Later" ครับ พอได้เห็นตัวอย่างหนังครั้งแรก ผมก็เริ่มตั้งความหวังไว้สูงเลยว่าผู้กำกับ Danny Boyle จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งรึเปล่า และคำตอบคือ... "ใช่ครับ!" ภาคนี้เหมือนเป็นการยกระดับความสยองขวัญให้ไปอีกขั้นเลยก็ว่าได้ครับ
เรื่องราวในภาคนี้จะพาเราไปพบกับโลกที่เวลาผ่านไป 28 ปี หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก สังคมมนุษย์พยายามที่จะฟื้นฟูและสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่ ผู้คนเริ่มกลับมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของกองทัพและหน่วยงานต่างๆ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เชื้อไวรัส RAGE ก็ยังคงเป็นฝันร้ายที่พร้อมจะกลับมาหลอกหลอนได้ทุกเมื่อครับ
ตัวละครหลักในภาคนี้จะเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้ พวกเขาไม่เคยรู้จักโลกก่อนที่จะมีไวรัสระบาดเลย การเอาชีวิตรอดคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา และเมื่อเหตุการณ์บางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น การเดินทางเพื่อเอาชีวิตรอดของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับความอันตรายที่คาดเดาไม่ได้
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในภาคนี้คือ "ความสมจริง" ครับ ถึงแม้จะเป็นหนังแนวซอมบี้ แต่ผู้กำกับก็ยังคงรักษามาตรฐานในการนำเสนอความโหดร้ายของสถานการณ์ได้อย่างน่าเชื่อถือ การที่เวลาผ่านไป 28 ปี ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะสงบสุขนะครับ ตรงกันข้าม มันเหมือนกับว่ามนุษย์ได้สร้าง "กับดัก" ขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว
พวกติดเชื้อในภาคนี้ก็ยังคงความน่ากลัวเหมือนเดิมครับ ยังคงความเร็ว ความดุร้าย และความกระหายเลือด แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ "ความฉลาด" ของพวกมันที่ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นตามกาลเวลา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพวกมันได้วิวัฒนาการมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตรายมานาน ทำให้พวกมันมีความสามารถในการปรับตัวและมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ฉากไล่ล่าในภาคนี้ทำออกมาได้ลุ้นระทึกมากๆ ครับ มีทั้งฉากที่ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดแบบตะโกนลั่นโรง และฉากที่ต้องใช้ไหวพริบในการหลบซ่อนตัว
อีกจุดที่น่าสนใจคือ "การเล่าเรื่อง" ครับ ภาคนี้มีการตัดสลับระหว่างอดีตและปัจจุบันได้อย่างลงตัว ทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ของการระบาด ทำให้เราเห็นภาพความวุ่นวายและความสิ้นหวังของมนุษย์ในตอนนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การแสดงของนักแสดงก็ทำได้ดีครับ โดยเฉพาะนักแสดงนำหลักที่ถ่ายทอดอารมณ์ความกลัว ความหวัง และความเด็ดเดี่ยวของตัวละครออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ ทำให้เราเอาใจช่วยพวกเขาตลอดทั้งเรื่อง บรรยากาศโดยรวมของหนังก็ทำออกมาได้กดดัน หดหู่ และมีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่ได้ดูเวอร์วังจนเกินไป
แน่นอนว่าในฐานะหนังสยองขวัญ "28 Years Later" ก็มีฉากที่น่ากลัวและรุนแรงอยู่พอสมควรครับ ใครที่ไม่ชอบฉากเลือดสาด หรือฉากที่โหดร้ายมากๆ อาจจะต้องเตรียมใจไปก่อนนะครับ แต่สำหรับผม ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความสมจริงและน่าจดจำ
สิ่งที่ผมสังเกตได้อีกอย่างคือ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นแค่ความสยองขวัญอย่างเดียวครับ มันยังมีการสะท้อนประเด็นทางสังคมและจิตวิทยาของมนุษย์ในภาวะวิกฤตด้วย การที่เราต้องอยู่รอดท่ามกลางความตาย การสูญเสีย และความไม่แน่นอน ทำให้เราเห็นด้านที่ทั้งดีและร้ายของมนุษย์ออกมา
สรุปแล้ว "28 Years Later" เป็นภาพยนตร์ที่คุ้มค่าแก่การรอคอยจริงๆ ครับ มันคือการกลับมาที่แข็งแกร่งของแฟรนไชส์ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เอาไว้ มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ และความสยองขวัญที่จัดเต็มไม่ยั้ง ใครที่เป็นแฟนภาคเก่า หรือใครที่กำลังมองหาหนังแนวซอมบี้ที่เข้มข้น ผมแนะนำให้ไปดูเลยครับ รับรองว่านั่งไม่ติดเบาะแน่นอน
ใครที่ไปดูกันมาแล้ว มาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ หรือใครที่กำลังลังเล ผมว่าลองเปิดใจดูสักครั้ง แล้วคุณอาจจะติดใจเหมือนผมก็ได้ครับ!
ขอบคุณครับที่อ่านรีวิวของผมครับ.