ความรู้ทางโลกก่อนบวช ตำแหน่งหน้าที่การงานก่อนบวช ความรู้ทางพระธรรมก่อนบวช
บวชเมื่อไหร่ บวชที่วัดไหน ใครเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ ชัดเจนแจ่มแจ้งมีหลักฐานยืนยัน
เรียนอะไรมาบ้าง บวชได้ 1 เดือน จนถึง 12 เดือน ในพรรษาแรก เป็นต้นไล่มาจนถึงวันออกมาสอนญาติโยมตาปริบๆ
เคยสอนในสถาบันพระพุทธศาสนาใดมาบ้าง มีวุฒิการศึกษาทางพุทธศาสนาใดมาบ้างเช่น หลักสูตรพระบาลี หลักสูตรทางธรรมได้เมื่อไร สถาบันพุทธ
มาจากสำนักไหน
การสั่งสอนเป็นอย่างไร ตรงตามพระไตรปิฎก แปลว่า พระ 3 ปิฎก หรือเปล่า
มีเรื่องอมเงินหรือเปล่า
เคยโดนไล่ออกจากวัดหรือเปล่า
มีสีกาเข้ามาเกี่ยวข้องหรืออาจจะเป็นสีเกย์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า
มีเรื่องเงินอ้างไปทำโน่นทำนี่เยอะตลอดหรือเปล่า
คำสอนจากปากออกมาแบบโง่ๆหรือเปล่า
คำสอนเป็นวาจาสุจริตหรือเปล่า
อ้างโน่นนี่นั่น อันนี้ใช่ อันนั้นไม่ใช่ หรือเปล่า
อันนี้ถูก อันอื่นผิดหรือเปล่า
บอกชาวบ้านตาปริบๆว่า ตนเป็นพระอริยะบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือเปล่า
และเป็นคนคิดไปเองว่าเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า
สุดท้ายมันเป็นคนบ้าหรือเปล่า
สงสัยเรื่องใดๆอยู่หรือเปล่า
-----------------------
ถ้าหายสงสัยจากคำถามเหล่านี้ เรียบร้อย ก็ตั้งใจสดับรับฟังครับเถอะครับ
-----------------------
ในยามที่ตำราพระธรรมมีมากมาย สามารถหามาอ่านได้โดยสะดวกมากกว่ากาลไหนๆ
มีอาจารย์พระอาจารย์ที่มีวุฒิภาวะและคุณวุฒิเป็นที่ประจักษ์แล้วให้อรรถกถาธิบายด้วยความเมตตากรุณามากมายยิ่งในปัจจุบัน
การเรียนการศึกษาและการปฏิบัติธรรมด้วยมีญานหรือปัญญาหรือความรู้นำก็จะทำให้มีความก้าวหน้า
ความยากแค่ไหนหนาแค่ไหน ก็จะกระดื๊บกระดื๊บเจาะไชทีละน้อยทีละเล็กค่อยๆทำความเข้าใจด้วยวิริยะความเพียรให้ได้ต่อไป
----------------------
พื้นฐานของคนพุทธตามมาตรฐานก็คือ เชื่อหมดใจอยู่แล้วด้วยความศรัทธา
แต่ถ้าหากมีความรู้ หรือมีญาน ประกอบกับศรัทธา ก็น่าจะดีกว่า มีศรัทธามากมายอย่างเดียว ยิ่งถ้ามีปัญญาหรือญานความรู้มากมายด้วยเนี่ยจะยิ่งดีกว่า
-----------------------
เป็นชาวพุทธแต่ในบัตรประชาชนและแม่บอกมา ก็จะเชื่อง่ายๆ แบบผมตอนเด็กๆ
เมื่อได้ศึกษาพระธรรมในตอนปัจจุบัน ก็รู้สึกว่า ค่อยเหมาะสมกับชื่อชาวพุทธขึ้นมาบ้างแล้ว
การศึกษาพระธรรม ฟังไป จดไป คิดไป พิจารณาไป ก็เป็นความบันเทิงชนิดหนึ่งของชีวิต พอๆกับการเดินทางไปเที่ยวรอบโลก พอๆกันแหละครับ
ชอบอย่างไหนก็ไปอย่างนั้น
---------------------
ที่สุดแล้ว ใครชอบแบบไหนก็ไปทางนั้น จะถูกจะผิด ก็ไปตามใจ
รู้ว่าถูกก็ต่อเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรม เท่านั้นแหละครับ
---------------------
เอตัง มะมะ เอโส หะมะสะมิ เอโส เม อัตตา
---------------------
ช่างหัวมัน มันคือ IT
---------------------
สงสัยไหมว่าพระภิกษุ/ฆราวาสที่ตัวเองฟังอยู่ เอาอะไรจากที่ไหน มาสอนพระธรรม คนฟังอย่างเราก็ตาปริบๆ
บวชเมื่อไหร่ บวชที่วัดไหน ใครเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ ชัดเจนแจ่มแจ้งมีหลักฐานยืนยัน
เรียนอะไรมาบ้าง บวชได้ 1 เดือน จนถึง 12 เดือน ในพรรษาแรก เป็นต้นไล่มาจนถึงวันออกมาสอนญาติโยมตาปริบๆ
เคยสอนในสถาบันพระพุทธศาสนาใดมาบ้าง มีวุฒิการศึกษาทางพุทธศาสนาใดมาบ้างเช่น หลักสูตรพระบาลี หลักสูตรทางธรรมได้เมื่อไร สถาบันพุทธ
มาจากสำนักไหน
การสั่งสอนเป็นอย่างไร ตรงตามพระไตรปิฎก แปลว่า พระ 3 ปิฎก หรือเปล่า
มีเรื่องอมเงินหรือเปล่า
เคยโดนไล่ออกจากวัดหรือเปล่า
มีสีกาเข้ามาเกี่ยวข้องหรืออาจจะเป็นสีเกย์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า
มีเรื่องเงินอ้างไปทำโน่นทำนี่เยอะตลอดหรือเปล่า
คำสอนจากปากออกมาแบบโง่ๆหรือเปล่า
คำสอนเป็นวาจาสุจริตหรือเปล่า
อ้างโน่นนี่นั่น อันนี้ใช่ อันนั้นไม่ใช่ หรือเปล่า
อันนี้ถูก อันอื่นผิดหรือเปล่า
บอกชาวบ้านตาปริบๆว่า ตนเป็นพระอริยะบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือเปล่า
และเป็นคนคิดไปเองว่าเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า
สุดท้ายมันเป็นคนบ้าหรือเปล่า
สงสัยเรื่องใดๆอยู่หรือเปล่า
-----------------------
ถ้าหายสงสัยจากคำถามเหล่านี้ เรียบร้อย ก็ตั้งใจสดับรับฟังครับเถอะครับ
-----------------------
ในยามที่ตำราพระธรรมมีมากมาย สามารถหามาอ่านได้โดยสะดวกมากกว่ากาลไหนๆ
มีอาจารย์พระอาจารย์ที่มีวุฒิภาวะและคุณวุฒิเป็นที่ประจักษ์แล้วให้อรรถกถาธิบายด้วยความเมตตากรุณามากมายยิ่งในปัจจุบัน
การเรียนการศึกษาและการปฏิบัติธรรมด้วยมีญานหรือปัญญาหรือความรู้นำก็จะทำให้มีความก้าวหน้า
ความยากแค่ไหนหนาแค่ไหน ก็จะกระดื๊บกระดื๊บเจาะไชทีละน้อยทีละเล็กค่อยๆทำความเข้าใจด้วยวิริยะความเพียรให้ได้ต่อไป
----------------------
พื้นฐานของคนพุทธตามมาตรฐานก็คือ เชื่อหมดใจอยู่แล้วด้วยความศรัทธา
แต่ถ้าหากมีความรู้ หรือมีญาน ประกอบกับศรัทธา ก็น่าจะดีกว่า มีศรัทธามากมายอย่างเดียว ยิ่งถ้ามีปัญญาหรือญานความรู้มากมายด้วยเนี่ยจะยิ่งดีกว่า
-----------------------
เป็นชาวพุทธแต่ในบัตรประชาชนและแม่บอกมา ก็จะเชื่อง่ายๆ แบบผมตอนเด็กๆ
เมื่อได้ศึกษาพระธรรมในตอนปัจจุบัน ก็รู้สึกว่า ค่อยเหมาะสมกับชื่อชาวพุทธขึ้นมาบ้างแล้ว
การศึกษาพระธรรม ฟังไป จดไป คิดไป พิจารณาไป ก็เป็นความบันเทิงชนิดหนึ่งของชีวิต พอๆกับการเดินทางไปเที่ยวรอบโลก พอๆกันแหละครับ
ชอบอย่างไหนก็ไปอย่างนั้น
---------------------
ที่สุดแล้ว ใครชอบแบบไหนก็ไปทางนั้น จะถูกจะผิด ก็ไปตามใจ
รู้ว่าถูกก็ต่อเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรม เท่านั้นแหละครับ
---------------------
เอตัง มะมะ เอโส หะมะสะมิ เอโส เม อัตตา
---------------------
ช่างหัวมัน มันคือ IT
---------------------