ช่วงนี้หลายคนคงเห็นข่าว Bitcoin ร่วงหนัก จนหลายคนถามว่า “ตอนนี้ยังลงทุนได้ไหม?” หรือ “นี่คือโอกาสช้อนเหรียญหรือยัง?” การร่วงของ Bitcoin ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงวันเดียว แต่เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ซ้อนกัน ทั้งเศรษฐกิจมหภาค การไหลออกของกองทุน ETF การขายบนเชนจากวาฬและผู้ถือระยะยาว รวมถึงแรงเทคนิคที่กดราคาลงไปถึงแนวรับสำคัญ
1. ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและ Fed
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Bitcoin ร่วงคือ ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังผสม และตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่าการประชุม Fed เดือนธันวาคมจะลดดอกเบี้ยแรงตามที่หลายคนคาดหวัง
อัตราดอกเบี้ยสูงต่อเนื่องส่งผลต่อสินทรัพย์ที่พึ่งการเติบโตในอนาคต รวมถึง Bitcoin ด้วย ข่าวสงครามการค้าและภาษีนำเข้าก็เพิ่มความกังวล ทำให้เกิด โหมด Risk-Off นักลงทุนขายสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง หนึ่งในนั้นคือ Bitcoin
2. เงินไหลออกจาก ETF
อีกปัจจัยที่ทำให้ Bitcoin ร่วงคือการไหลออกจาก Spot Bitcoin ETF ในเดือนนี้ มีเงินไหลออกเกือบ 3 พันล้าน USD รวมถึงการถอนเงินวันเดียวเป็นสถิติจากกองทุน IBIT ของ BlackRock
การไหลออกจาก ETF ส่งผลโดยตรงต่อ ราคาตลาด Spot เพราะผู้ถือสถาบันส่วนใหญ่เข้าถึง Bitcoin ผ่าน ETF หากมีการถอนเงิน กองทุนจะต้องขายเหรียญจริง ทำให้ แรงขายสะสมและตลาดร่วงหนัก
3. Technical Breakdown และ Liquidation
ราคาหลุดแนวรับจิตวิทยาสำคัญ 100,000 USD และต่อมา 95,000 และ 92,000 USD ทำให้เกิด Liquidation ในตลาด Futures ขนาดใหญ่
ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น RSI Daily ต่ำกว่า 30, MACD Bearish และ EMA Cluster 4-hour เป็นแนวต้านชัดเจน สัญญาณเหล่านี้ทำให้ เทรดเดอร์ระวังการถือยาว
แม้จะร่วงหนัก แต่โซน Oversold ตาม RSI และตัวเลขทางเทคนิคบางตัวบอกว่า มีโอกาสเกิดดีดกลับระยะสั้น
4. แนวรับและแนวต้านสำคัญ
เทรดเดอร์จับตามองแนวรับสำคัญ 85,000 USD หากหลุด Daily Close อาจลงต่อไปทดสอบ แนวรับลึก 75,000–76,000 USD
แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 94,000–97,000 USD หากราคากลับขึ้นเหนือโซนนี้ จะเป็นสัญญาณว่า ฝั่ง Bear เริ่มเสียการควบคุม
5. มุมมอง Bull และ Bear ตอนนี้
-สำหรับ Bull ต้องการสัญญาณเชิงบวก เช่น RSI Daily กลับขึ้นเหนือ 30 ขณะที่ราคา ยืนเหนือ 85,000 USD และเงินไหลออก ETF ชะลอตัวหรือกลับเป็นบวก
-สำหรับ Bear การปิด Daily ต่ำกว่า 85,000 USD ต่อเนื่อง การไหลออก ETF ต่อเนื่อง และยอดสำรองบน Exchange เพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณว่า แรงขายยังคุมตลาด และ Bitcoin ร่วงต่อได้
6. โอกาสช้อนเหรียญหรือรอชัดเจน
คำถามสำคัญคือ “ร่วงมา ยังซื้อได้ไหม?”
-ฝั่งช้อนเหรียญ: นักลงทุนบางคนมองว่าโซน Oversold และอุปทานระยะยาวตึงตัวเป็น โอกาสสะสมเหรียญ
-ฝั่งรอชัดเจน: นักลงทุนหลายคนรอ สัญญาณฟื้นตัวชัดเจน เช่น RSI Daily กลับเหนือ 30, ปิดเหนือแนวต้าน EMA Cluster และเงินไหลกลับ ETF เป็นบวก
7. สรุปความเสี่ยงและแนวทาง
-Bitcoin เป็นสินทรัพย์ ความเสี่ยงสูงและผันผวนมาก การร่วงหนักครั้งนี้สะท้อนถึงหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้ง Macro, ETF, On-Chain และ Technical
-การลงทุนต้องมี การบริหารความเสี่ยงเข้มงวด
-ขนาดพอร์ตควรเหมาะสม และอาจ ทยอยเข้าซื้อในจังหวะแนวรับสำคัญ
-ติดตามแนวรับ-แนวต้าน และพฤติกรรมเงินไหลเข้าออก ETF เพื่อประเมิน โอกาสฟื้นตัวหรือแรงขายต่อ
สรุปว่า Bitcoin ลงหนัก ไม่ได้แปลว่าตลาดจะสิ้นหวัง แต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังและ วางแผนก่อนช้อนเหรียญ นักลงทุนที่เข้าใจปัจจัยเหล่านี้ มีโอกาสได้ตำแหน่งดีในจังหวะที่ตลาดเริ่มฟื้นตัว
แล้วเพื่อนๆ มีใครรองลง Bitcoin บ้างครับ
Bitcoin ลงทุนได้ยังครับ ร่วงมาหน้าช้อนแกง
1. ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและ Fed
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Bitcoin ร่วงคือ ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังผสม และตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่าการประชุม Fed เดือนธันวาคมจะลดดอกเบี้ยแรงตามที่หลายคนคาดหวัง
อัตราดอกเบี้ยสูงต่อเนื่องส่งผลต่อสินทรัพย์ที่พึ่งการเติบโตในอนาคต รวมถึง Bitcoin ด้วย ข่าวสงครามการค้าและภาษีนำเข้าก็เพิ่มความกังวล ทำให้เกิด โหมด Risk-Off นักลงทุนขายสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง หนึ่งในนั้นคือ Bitcoin
2. เงินไหลออกจาก ETF
อีกปัจจัยที่ทำให้ Bitcoin ร่วงคือการไหลออกจาก Spot Bitcoin ETF ในเดือนนี้ มีเงินไหลออกเกือบ 3 พันล้าน USD รวมถึงการถอนเงินวันเดียวเป็นสถิติจากกองทุน IBIT ของ BlackRock
การไหลออกจาก ETF ส่งผลโดยตรงต่อ ราคาตลาด Spot เพราะผู้ถือสถาบันส่วนใหญ่เข้าถึง Bitcoin ผ่าน ETF หากมีการถอนเงิน กองทุนจะต้องขายเหรียญจริง ทำให้ แรงขายสะสมและตลาดร่วงหนัก
3. Technical Breakdown และ Liquidation
ราคาหลุดแนวรับจิตวิทยาสำคัญ 100,000 USD และต่อมา 95,000 และ 92,000 USD ทำให้เกิด Liquidation ในตลาด Futures ขนาดใหญ่
ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น RSI Daily ต่ำกว่า 30, MACD Bearish และ EMA Cluster 4-hour เป็นแนวต้านชัดเจน สัญญาณเหล่านี้ทำให้ เทรดเดอร์ระวังการถือยาว
แม้จะร่วงหนัก แต่โซน Oversold ตาม RSI และตัวเลขทางเทคนิคบางตัวบอกว่า มีโอกาสเกิดดีดกลับระยะสั้น
4. แนวรับและแนวต้านสำคัญ
เทรดเดอร์จับตามองแนวรับสำคัญ 85,000 USD หากหลุด Daily Close อาจลงต่อไปทดสอบ แนวรับลึก 75,000–76,000 USD
แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 94,000–97,000 USD หากราคากลับขึ้นเหนือโซนนี้ จะเป็นสัญญาณว่า ฝั่ง Bear เริ่มเสียการควบคุม
5. มุมมอง Bull และ Bear ตอนนี้
-สำหรับ Bull ต้องการสัญญาณเชิงบวก เช่น RSI Daily กลับขึ้นเหนือ 30 ขณะที่ราคา ยืนเหนือ 85,000 USD และเงินไหลออก ETF ชะลอตัวหรือกลับเป็นบวก
-สำหรับ Bear การปิด Daily ต่ำกว่า 85,000 USD ต่อเนื่อง การไหลออก ETF ต่อเนื่อง และยอดสำรองบน Exchange เพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณว่า แรงขายยังคุมตลาด และ Bitcoin ร่วงต่อได้
6. โอกาสช้อนเหรียญหรือรอชัดเจน
คำถามสำคัญคือ “ร่วงมา ยังซื้อได้ไหม?”
-ฝั่งช้อนเหรียญ: นักลงทุนบางคนมองว่าโซน Oversold และอุปทานระยะยาวตึงตัวเป็น โอกาสสะสมเหรียญ
-ฝั่งรอชัดเจน: นักลงทุนหลายคนรอ สัญญาณฟื้นตัวชัดเจน เช่น RSI Daily กลับเหนือ 30, ปิดเหนือแนวต้าน EMA Cluster และเงินไหลกลับ ETF เป็นบวก
7. สรุปความเสี่ยงและแนวทาง
-Bitcoin เป็นสินทรัพย์ ความเสี่ยงสูงและผันผวนมาก การร่วงหนักครั้งนี้สะท้อนถึงหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้ง Macro, ETF, On-Chain และ Technical
-การลงทุนต้องมี การบริหารความเสี่ยงเข้มงวด
-ขนาดพอร์ตควรเหมาะสม และอาจ ทยอยเข้าซื้อในจังหวะแนวรับสำคัญ
-ติดตามแนวรับ-แนวต้าน และพฤติกรรมเงินไหลเข้าออก ETF เพื่อประเมิน โอกาสฟื้นตัวหรือแรงขายต่อ
สรุปว่า Bitcoin ลงหนัก ไม่ได้แปลว่าตลาดจะสิ้นหวัง แต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังและ วางแผนก่อนช้อนเหรียญ นักลงทุนที่เข้าใจปัจจัยเหล่านี้ มีโอกาสได้ตำแหน่งดีในจังหวะที่ตลาดเริ่มฟื้นตัว
แล้วเพื่อนๆ มีใครรองลง Bitcoin บ้างครับ