ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
Bitcoin ลงหนัก ทำให้เทรดเดอร์หลายคนเริ่มกังวลและตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดคริปโต การปรับตัวลงของ Bitcoin ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่วันเดียว แต่เป็นผลจาก หลายปัจจัยที่ซ้อนกัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจมหภาค การไหลออกของ ETF และแรงเทคนิคที่กดราคาลงไปถึงแนวรับสำคัญ
1. ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและความกังวลของ Fed
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ Bitcoin ลงหนัก คือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผสมกัน การประชุม Fed เดือนธันวาคมเริ่มทำให้ตลาดไม่มั่นใจว่าจะมีการลดดอกเบี้ยแบบรวดเร็วเหมือนที่คาดหวัง
อัตราดอกเบี้ยสูงต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่พึ่งการเติบโตและสภาพคล่องในอนาคต รวมถึง Bitcoin ด้วย นอกจากนี้ข่าวเรื่องสงครามการค้าและภาษีนำเข้าก็ยังคงสร้างความกังวล ทำให้เกิด แรงขายสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง
2. เงินไหลออกจาก ETF หนัก
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการไหลออกจาก Spot Bitcoin ETF ในเดือนพฤศจิกายน มีเงินไหลออกเกือบ 3 พันล้าน USD รวมถึงการถอนเงินวันเดียวเป็นสถิติจากกองทุน IBIT ของ BlackRock การขายก้อนนี้ทำให้ Bitcoin ลงหนัก และเพิ่มแรงกดดันให้ตลาด Spot
3. Technical Breakdown และ Liquidation
แนวรับสำคัญ 100,000 USD หลุดไปก่อน จากนั้นราคาหลุด 95,000 และ 92,000 USD ทำให้เกิด Liquidation ในตลาด Futures ขนาดใหญ่ และส่งผลให้ Bitcoin ลงหนักต่อเนื่อง
ตัวชี้วัดทางเทคนิคหลายตัว เช่น RSI Daily ต่ำกว่า 30 และ MACD ยังคงเป็น Bearish ส่งสัญญาณว่าแนวโน้มระยะสั้นยังอยู่ในโซนลบ ส่วน EMA Cluster 4-hour ก็ยังเป็นแนวต้าน หากราคาดีดขึ้นแต่ไม่ผ่านโซนนี้ ก็ยังคงเป็นสัญญาณว่า แรงขายยังคุมตลาดอยู่
4. แนวรับและแนวต้านที่ต้องจับตา
เทรดเดอร์หลายคนกำลังจับตามอง แนวรับ 85,000 USD เป็นจุดสำคัญ หากหลุด Daily Close ราคามีโอกาสลงต่อไปทดสอบ แนวรับลึก 75,000–76,000 USD
ในขณะเดียวกัน แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 94,000–97,000 USD หากราคากลับขึ้นมาเหนือโซนนี้ จะเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่า Bears เริ่มเสียการควบคุม
5. มุมมอง Bull และ Bear
ฝั่ง Bull ต้องการสัญญาณเชิงบวก เช่น RSI Daily กลับขึ้นเหนือ 30 ขณะราคายืนเหนือ 85,000 USD และการไหลออกจาก ETF ชะลอตัวหรือกลับเป็นบวก
สำหรับ Bear การปิด Daily ต่ำกว่า 85,000 USD โดยไม่มีดีดกลับเร็ว การไหลออกจาก ETF ต่อเนื่อง และยอดสำรองบน Exchange เพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณว่า แรงขายยังคงอยู่และ Bitcoin ลงหนักต่อเนื่องได้
สรุป
การปรับตัวลงของ Bitcoin ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับตลาดคริปโตที่ผันผวนสูง Bitcoin ลงหนัก เกิดจากปัจจัย Macro, เงินไหลออก ETF และแรงเทคนิคทั้งหมดทำงานร่วมกัน
เทรดเดอร์ควรใช้ การจัดขนาดพอร์ตและการบริหารความเสี่ยง อย่างเข้มงวด ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนมองว่าโซน Oversold และอุปทานระยะยาวตึงตัวอาจเป็น โอกาสซื้อสะสม
Bitcoin ลงหนัก? วิเคราะห์สาเหตุตลาดแดงและแนวโน้ม
1. ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและความกังวลของ Fed
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ Bitcoin ลงหนัก คือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผสมกัน การประชุม Fed เดือนธันวาคมเริ่มทำให้ตลาดไม่มั่นใจว่าจะมีการลดดอกเบี้ยแบบรวดเร็วเหมือนที่คาดหวัง
อัตราดอกเบี้ยสูงต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่พึ่งการเติบโตและสภาพคล่องในอนาคต รวมถึง Bitcoin ด้วย นอกจากนี้ข่าวเรื่องสงครามการค้าและภาษีนำเข้าก็ยังคงสร้างความกังวล ทำให้เกิด แรงขายสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง
2. เงินไหลออกจาก ETF หนัก
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการไหลออกจาก Spot Bitcoin ETF ในเดือนพฤศจิกายน มีเงินไหลออกเกือบ 3 พันล้าน USD รวมถึงการถอนเงินวันเดียวเป็นสถิติจากกองทุน IBIT ของ BlackRock การขายก้อนนี้ทำให้ Bitcoin ลงหนัก และเพิ่มแรงกดดันให้ตลาด Spot
3. Technical Breakdown และ Liquidation
แนวรับสำคัญ 100,000 USD หลุดไปก่อน จากนั้นราคาหลุด 95,000 และ 92,000 USD ทำให้เกิด Liquidation ในตลาด Futures ขนาดใหญ่ และส่งผลให้ Bitcoin ลงหนักต่อเนื่อง
ตัวชี้วัดทางเทคนิคหลายตัว เช่น RSI Daily ต่ำกว่า 30 และ MACD ยังคงเป็น Bearish ส่งสัญญาณว่าแนวโน้มระยะสั้นยังอยู่ในโซนลบ ส่วน EMA Cluster 4-hour ก็ยังเป็นแนวต้าน หากราคาดีดขึ้นแต่ไม่ผ่านโซนนี้ ก็ยังคงเป็นสัญญาณว่า แรงขายยังคุมตลาดอยู่
4. แนวรับและแนวต้านที่ต้องจับตา
เทรดเดอร์หลายคนกำลังจับตามอง แนวรับ 85,000 USD เป็นจุดสำคัญ หากหลุด Daily Close ราคามีโอกาสลงต่อไปทดสอบ แนวรับลึก 75,000–76,000 USD
ในขณะเดียวกัน แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 94,000–97,000 USD หากราคากลับขึ้นมาเหนือโซนนี้ จะเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่า Bears เริ่มเสียการควบคุม
5. มุมมอง Bull และ Bear
ฝั่ง Bull ต้องการสัญญาณเชิงบวก เช่น RSI Daily กลับขึ้นเหนือ 30 ขณะราคายืนเหนือ 85,000 USD และการไหลออกจาก ETF ชะลอตัวหรือกลับเป็นบวก
สำหรับ Bear การปิด Daily ต่ำกว่า 85,000 USD โดยไม่มีดีดกลับเร็ว การไหลออกจาก ETF ต่อเนื่อง และยอดสำรองบน Exchange เพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณว่า แรงขายยังคงอยู่และ Bitcoin ลงหนักต่อเนื่องได้
สรุป
การปรับตัวลงของ Bitcoin ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับตลาดคริปโตที่ผันผวนสูง Bitcoin ลงหนัก เกิดจากปัจจัย Macro, เงินไหลออก ETF และแรงเทคนิคทั้งหมดทำงานร่วมกัน
เทรดเดอร์ควรใช้ การจัดขนาดพอร์ตและการบริหารความเสี่ยง อย่างเข้มงวด ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนมองว่าโซน Oversold และอุปทานระยะยาวตึงตัวอาจเป็น โอกาสซื้อสะสม