คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
๑๐. สีลสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ควรใส่ใจโดยแยบคาย
[๓๑๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสิปตน-
*มฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิตะออกจากที่พักผ่อนในเวลา
เย็น เข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ฯลฯ ได้ถามว่า ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้มีศีลควร
กระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่านโกฏฐิตะ ภิกษุ
ผู้มีศีล ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน
เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? คือ
อุปาทานขันธ์ คือรูป ๑ อุปาทานขันธ์ คือเวทนา ๑ อุปาทานขันธ์ คือสัญญา ๑ อุปาทานขันธ์
คือสังขาร ๑ อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ ๑. ดูกรท่านโกฏฐิตะ ภิกษุผู้มีศีล ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็น
ดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้มีศีล กระทำ
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล.
[๓๑๑] โก. ดูกรท่านสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นโสดาบัน ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้
ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นโสดาบัน ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ
ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นโสดาบัน กระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดย
แยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล.
[๓๑๒] โก. ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นสกทาคามี ควรกระทำธรรมเหล่าไหน
ไว้ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นพระสกทาคามี ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านี้นั่นแล ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกร
ท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นสกทาคามี กระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่ง
อนาคามิผล.
[๓๑๓] โก. ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นอนาคามี ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้
ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นอนาคามี ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั่นแล
ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ
ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นอนาคามีกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย
โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล.
[๓๑๔] โก. ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้
ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั่น
แล ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดัง
ลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ กิจที่จะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไป หรือการสั่งสมกิจที่กระทำแล้ว
ย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ และแม้ธรรมเหล่านี้ที่ภิกษุผู้เป็นอรหันต์เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ก็
เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ.
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=3721&Z=3764
*************************
กุมารอธิบาย
ได้เลยพ่อจาน กุมารจะอธิบาย “แบบราชการหน่อย-ๆ” แต่ยัง “อ่านง่ายแบบพันทิป” ให้เข้าใจว่าทำไม แม้อรหันต์ยังต้องพิจารณาขันธ์ ๕ และมันเกี่ยวกับ “อยู่เป็นสุข” อย่างไร โดยอิงหลักจาก สีลสูตร (SN.22.122) ที่พ่อจานยกมาเป๊ะตามบาลีครับ
💡 สรุปใจความพระสูตร (แบบอ่านง่าย)
พระสารีบุตรตอบชัดมากว่า ทุกระดับ ตั้งแต่ผู้มีศีล → โสดาบัน → สกทาคามี → อนาคามี → อรหันต์
ต่างก็ต้อง “พิจารณาอุปาทานขันธ์ ๕ โดยแยบคาย” เหมือนกัน คือ
ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์
เป็นโรค
เป็นฝี
เป็นลูกศร
เป็นของทรุดโทรม แปรปรวน สูญ
และ ไม่ใช่ตัวตน
ข้อแตกต่างคือ
ผู้ยังไม่ถึงอรหัตผล “พิจารณาเพื่อบรรลุขั้นถัดไป”
แต่อรหันต์พิจารณาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ (บาลีบอกเคลียร์มาก)
🔎 แล้ว “ทำไมอรหันต์ต้องทำ?”
เพราะ “ขันธ์ ๕ ยังทำงานอยู่” แม้จะสิ้นกิเลสแล้ว แต่รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณยังหมุนอยู่ตามเหตุปัจจัย เช่น
ร่างกายยังแก่ เจ็บ ปวด
เวทนากายยังมีสุข-ทุกข์
สังขารร่างกายยังต้องทำงาน
วิญญาณยังต้องรับอารมณ์ทางตา หู จมูก ฯลฯ
ท่านไม่หลงมันแล้วก็จริง แต่ต้อง “ตั้งสติให้ชัด” เพื่อให้ความเป็นอยู่ผ่องใส ไม่เร่าร้อนครับ
🧘♂️ “พิจารณาขันธ์ ๕ เพื่ออยู่เป็นสุข” คือทำแบบไหน?
อธิบายแบบง่ายสุด (แนวพันทิป):
คือพอขันธ์มันทำงาน — ร่างกายปวด ใจมีเวทนาผุดขึ้น สัญญาเตือนความจำ สังขารก่อปรุง — ท่านรู้ตามจริงทันทีว่า
“มันเกิดเพราะเหตุ มันดับเพราะเหตุ”
“ของมันเป็นอย่างนี้เอง”
ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปปรุงซ้ำ
ร่างกายทำงานส่วนร่างกาย ใจทำงานส่วนใจ
ความสุขเกิดจาก “ความไม่ถูกกิเลสลากไป”
👁🗨 เปรียบเทียบให้เห็นภาพ “ชีวิตปัจจุบัน”
กุมารขอเล่าให้ฟังแบบเปรียบเทียบที่คนทั่วไปจะเก็ตทันทีครับ:
1) แบบคนธรรมดา (กิเลสดึงแรง)
เหมือนใช้โทรศัพท์ที่เด้งแจ้งเตือนตลอดเวลา
เห็นข้อความทีไรก็ต้องกดเข้าไปจนเครียด
เจ็บ → ฟุ้งซ่าน
โดนว่า → โมโห
ได้ชม → ฟูใจ
กลัวเสียหน้า → เครียด
ก็คือ “ยึดขันธ์” แบบไม่รู้ตัว
2) แบบผู้ปฏิบัติดีขึ้น
เริ่มรู้ทันว่าแจ้งเตือนมัน “แค่เด้งขึ้นมา”
แต่ยังอยากกดดูบ้าง
บางทีก็กด บางทีก็ไม่กด
นี่คือ “เห็นขันธ์ตามจริงบางช่วง แต่ยังถูกดูดบ้าง”
3) แบบอรหันต์
เหมือนตั้งระบบมือถือเป็น “เงียบทั้งหมด”
แจ้งเตือนยังมีตามเหตุปัจจัย แต่ใจไม่หวั่น ไม่อยากเข้าไปกด
ท่านเห็นแจ้งเตือนเกิด-ดับ แต่มันไม่กระทบใจอีกแล้ว
แต่เพื่อให้การใช้ชีวิตลื่นไหล ไม่งง ไม่พลาด ท่านจะ “มองมือถือเป็นระยะ ๆ” ด้วยสติสัมปชัญญะ
— แบบที่พระสูตรเรียกว่า
“เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ”
👍 วิธีอธิบายให้เพื่อนสมาชิกเข้าใจง่าย ๆ ในพันทิป
กุมารสรุปถ้อยคำพร้อมใช้แบบราชการ-พันทิป ดังนี้ครับพ่อจาน:
คำตอบที่แนะนำให้พ่อจานใช้
พระสูตรสีลสูตรกล่าวชัดว่า แม้พระอรหันต์ก็ยังต้อง “พิจารณาอุปาทานขันธ์ ๕ โดยแยบคาย” เช่นเดียวกับผู้ยังอยู่ในมรรคผลแต่ละขั้น
ต่างกันที่ว่า ผู้ยังไม่บรรลุใช้การพิจารณาเพื่อ “ทำให้แจ้งผลขั้นถัดไป”
ส่วน พระอรหันต์ใช้เพื่อความผาสุกในปัจจุบัน และเพื่อความมีสติสัมปชัญญะ
เพราะขันธ์ ๕ ยังทำงานตามเหตุปัจจัย—ร่างกายยังเจ็บได้ วิญญาณยังรับอารมณ์ได้—แต่ท่านไม่ยึด ไม่ให้จิตถูกลากไป
การพิจารณาคือเห็นขันธ์ตามจริงว่า “ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” เหมือนเห็นปรากฏการณ์เกิด-ดับอยู่เฉย ๆ โดยไม่เข้ายึดถือ
เปรียบเหมือนคนใช้มือถือที่ปิดเสียงแจ้งเตือน แจ้งเตือนยังเด้งตามเหตุ แต่ไม่กวนใจอีกแล้ว
การมองขันธ์ของพระอรหันต์จึงเป็นเพียงการรักษาความชัดของสติ เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันเท่านั้น.
ว่าด้วยธรรมที่ควรใส่ใจโดยแยบคาย
[๓๑๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสิปตน-
*มฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิตะออกจากที่พักผ่อนในเวลา
เย็น เข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ฯลฯ ได้ถามว่า ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้มีศีลควร
กระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่านโกฏฐิตะ ภิกษุ
ผู้มีศีล ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน
เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? คือ
อุปาทานขันธ์ คือรูป ๑ อุปาทานขันธ์ คือเวทนา ๑ อุปาทานขันธ์ คือสัญญา ๑ อุปาทานขันธ์
คือสังขาร ๑ อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ ๑. ดูกรท่านโกฏฐิตะ ภิกษุผู้มีศีล ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็น
ดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้มีศีล กระทำ
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล.
[๓๑๑] โก. ดูกรท่านสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นโสดาบัน ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้
ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นโสดาบัน ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ
ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นโสดาบัน กระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดย
แยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล.
[๓๑๒] โก. ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นสกทาคามี ควรกระทำธรรมเหล่าไหน
ไว้ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นพระสกทาคามี ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านี้นั่นแล ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกร
ท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นสกทาคามี กระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่ง
อนาคามิผล.
[๓๑๓] โก. ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นอนาคามี ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้
ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นอนาคามี ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั่นแล
ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ
ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้เป็นอนาคามีกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย
โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล.
[๓๑๔] โก. ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้
ในใจโดยแยบคาย?
สา. ดูกรท่านโกฏฐิตะ แม้ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั่น
แล ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดัง
ลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของไม่ใช่ตัวตน. ดูกรท่านโกฏฐิตะ กิจที่จะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไป หรือการสั่งสมกิจที่กระทำแล้ว
ย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ และแม้ธรรมเหล่านี้ที่ภิกษุผู้เป็นอรหันต์เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ก็
เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ.
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=3721&Z=3764
*************************
กุมารอธิบาย
ได้เลยพ่อจาน กุมารจะอธิบาย “แบบราชการหน่อย-ๆ” แต่ยัง “อ่านง่ายแบบพันทิป” ให้เข้าใจว่าทำไม แม้อรหันต์ยังต้องพิจารณาขันธ์ ๕ และมันเกี่ยวกับ “อยู่เป็นสุข” อย่างไร โดยอิงหลักจาก สีลสูตร (SN.22.122) ที่พ่อจานยกมาเป๊ะตามบาลีครับ
💡 สรุปใจความพระสูตร (แบบอ่านง่าย)
พระสารีบุตรตอบชัดมากว่า ทุกระดับ ตั้งแต่ผู้มีศีล → โสดาบัน → สกทาคามี → อนาคามี → อรหันต์
ต่างก็ต้อง “พิจารณาอุปาทานขันธ์ ๕ โดยแยบคาย” เหมือนกัน คือ
ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์
เป็นโรค
เป็นฝี
เป็นลูกศร
เป็นของทรุดโทรม แปรปรวน สูญ
และ ไม่ใช่ตัวตน
ข้อแตกต่างคือ
ผู้ยังไม่ถึงอรหัตผล “พิจารณาเพื่อบรรลุขั้นถัดไป”
แต่อรหันต์พิจารณาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ (บาลีบอกเคลียร์มาก)
🔎 แล้ว “ทำไมอรหันต์ต้องทำ?”
เพราะ “ขันธ์ ๕ ยังทำงานอยู่” แม้จะสิ้นกิเลสแล้ว แต่รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณยังหมุนอยู่ตามเหตุปัจจัย เช่น
ร่างกายยังแก่ เจ็บ ปวด
เวทนากายยังมีสุข-ทุกข์
สังขารร่างกายยังต้องทำงาน
วิญญาณยังต้องรับอารมณ์ทางตา หู จมูก ฯลฯ
ท่านไม่หลงมันแล้วก็จริง แต่ต้อง “ตั้งสติให้ชัด” เพื่อให้ความเป็นอยู่ผ่องใส ไม่เร่าร้อนครับ
🧘♂️ “พิจารณาขันธ์ ๕ เพื่ออยู่เป็นสุข” คือทำแบบไหน?
อธิบายแบบง่ายสุด (แนวพันทิป):
คือพอขันธ์มันทำงาน — ร่างกายปวด ใจมีเวทนาผุดขึ้น สัญญาเตือนความจำ สังขารก่อปรุง — ท่านรู้ตามจริงทันทีว่า
“มันเกิดเพราะเหตุ มันดับเพราะเหตุ”
“ของมันเป็นอย่างนี้เอง”
ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปปรุงซ้ำ
ร่างกายทำงานส่วนร่างกาย ใจทำงานส่วนใจ
ความสุขเกิดจาก “ความไม่ถูกกิเลสลากไป”
👁🗨 เปรียบเทียบให้เห็นภาพ “ชีวิตปัจจุบัน”
กุมารขอเล่าให้ฟังแบบเปรียบเทียบที่คนทั่วไปจะเก็ตทันทีครับ:
1) แบบคนธรรมดา (กิเลสดึงแรง)
เหมือนใช้โทรศัพท์ที่เด้งแจ้งเตือนตลอดเวลา
เห็นข้อความทีไรก็ต้องกดเข้าไปจนเครียด
เจ็บ → ฟุ้งซ่าน
โดนว่า → โมโห
ได้ชม → ฟูใจ
กลัวเสียหน้า → เครียด
ก็คือ “ยึดขันธ์” แบบไม่รู้ตัว
2) แบบผู้ปฏิบัติดีขึ้น
เริ่มรู้ทันว่าแจ้งเตือนมัน “แค่เด้งขึ้นมา”
แต่ยังอยากกดดูบ้าง
บางทีก็กด บางทีก็ไม่กด
นี่คือ “เห็นขันธ์ตามจริงบางช่วง แต่ยังถูกดูดบ้าง”
3) แบบอรหันต์
เหมือนตั้งระบบมือถือเป็น “เงียบทั้งหมด”
แจ้งเตือนยังมีตามเหตุปัจจัย แต่ใจไม่หวั่น ไม่อยากเข้าไปกด
ท่านเห็นแจ้งเตือนเกิด-ดับ แต่มันไม่กระทบใจอีกแล้ว
แต่เพื่อให้การใช้ชีวิตลื่นไหล ไม่งง ไม่พลาด ท่านจะ “มองมือถือเป็นระยะ ๆ” ด้วยสติสัมปชัญญะ
— แบบที่พระสูตรเรียกว่า
“เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ”
👍 วิธีอธิบายให้เพื่อนสมาชิกเข้าใจง่าย ๆ ในพันทิป
กุมารสรุปถ้อยคำพร้อมใช้แบบราชการ-พันทิป ดังนี้ครับพ่อจาน:
คำตอบที่แนะนำให้พ่อจานใช้
พระสูตรสีลสูตรกล่าวชัดว่า แม้พระอรหันต์ก็ยังต้อง “พิจารณาอุปาทานขันธ์ ๕ โดยแยบคาย” เช่นเดียวกับผู้ยังอยู่ในมรรคผลแต่ละขั้น
ต่างกันที่ว่า ผู้ยังไม่บรรลุใช้การพิจารณาเพื่อ “ทำให้แจ้งผลขั้นถัดไป”
ส่วน พระอรหันต์ใช้เพื่อความผาสุกในปัจจุบัน และเพื่อความมีสติสัมปชัญญะ
เพราะขันธ์ ๕ ยังทำงานตามเหตุปัจจัย—ร่างกายยังเจ็บได้ วิญญาณยังรับอารมณ์ได้—แต่ท่านไม่ยึด ไม่ให้จิตถูกลากไป
การพิจารณาคือเห็นขันธ์ตามจริงว่า “ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” เหมือนเห็นปรากฏการณ์เกิด-ดับอยู่เฉย ๆ โดยไม่เข้ายึดถือ
เปรียบเหมือนคนใช้มือถือที่ปิดเสียงแจ้งเตือน แจ้งเตือนยังเด้งตามเหตุ แต่ไม่กวนใจอีกแล้ว
การมองขันธ์ของพระอรหันต์จึงเป็นเพียงการรักษาความชัดของสติ เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันเท่านั้น.
แสดงความคิดเห็น
ผมยินว่า อรหันต์ยังต้องพิจารณาขันธ์๕ ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข พี่ท่านทราบไหมครับ พิจารณาขันธ์๕เพื่ออยู่เป็นสุข ทำยังไงจึงจ