นรชนพึ่งประพฤติโดยไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา เป็นตัวเรา เป็นเรา

    เราเห็นหมู่สัตว์นี้ ผู้ตกไปในอำนาจตัณหาในภพทั้งหลาย กำลังดิ้นรนอยู่ในโลก
นรชนที่เลว ผู้ยังไม่คลายตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ร่ำไรอยู่ใกล้ปากมัจจุราช
        [๑๒] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
                พวกเธอจงดูหมู่สัตว์ผู้กำลังดิ้นรนอยู่
                เพราะวัตถุที่ยึดถือว่าเป็นของเรา
                เหมือนฝูงปลาในน้ำน้อยสิ้นกระแสแล้ว
                นรชนเห็นโทษนี้แล้วก็อย่าก่อตัณหาเครื่องเกี่ยวข้องในภพทั้งหลาย
                พึงประพฤติไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา    
        [๑๓] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
                นักปราชญ์ พึงกำจัดความพอใจในส่วนสุดทั้ง ๒ ด้าน
                กำหนดรู้ผัสสะแล้ว ก็ไม่ติดใจ
                ติเตียนกรรมใดด้วยตน ก็ไม่ทำกรรมนั้น
                ไม่ติดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินแล้ว
         ๑๔] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
                มุนีกำหนดรู้สัญญาแล้ว ไม่เข้าไปติดในความยึดถือทั้งหลาย
                พึงข้ามโอฆะได้ ถอนลูกศรได้แล้ว ไม่ประมาท
                ประพฤติอยู่ ย่อมไม่หวังโลกนี้และโลกหน้า
บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกาย
                เป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะ
                ว่าเป็นมุนีผู้สมบูรณ์ด้วยโมเนยยธรรม ละกิเลสทั้งปวงได้
                บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกาย
                เป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะ
บุคคลโง่เขลาไม่รู้อะไร เพียงแต่นั่งนิ่งๆ หาชื่อว่าเป็นมุนีไม่
                ส่วนบุคคลผู้ฉลาด เลือกชั่งเอาแต่สิ่งที่ดี ละทิ้งสิ่งที่ชั่ว
                เหมือนบุคคลชั่งสิ่งของ จึงจะชื่อว่าเป็นมุนีแท้
                ผู้ที่รู้โลกทั้ง ๒ ก็เรียกว่า เป็นมุนี (เช่นกัน)๑-
                ผู้รู้ธรรมทั้งของอสัตบุรุษและสัตบุรุษ
                ทั้งภายในและภายนอก ในโลกทั้งปวง
                เทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้อง๒-
                และตัณหาดุจตาข่าย๓- ได้แล้ว ชื่อว่ามุนี๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่