#สรุป กระเทาะเปลือกส่องเนื้อในเศรษฐกิจเวียดนาม แม้โตร้อนแรงแต่ก็เปราะบาง เพราะ GDP ของประเทศราว 13% อยู่ในมือ Samsung แชโบเกาหลีใต้ กล่าวคือขนาดเศรษฐกิจเกือบ 1 ใน 7 อยู่ในมือต่างชาติรายเดียว และเวียดนามมีบริษัทเกาหลีลงทุนถึง 9,000 ราย จ้างงานราว 7 แสนคน ครอง 70% ของ GDP
.
ถ้ามีคนบอกว่า บริษัทต่างชาติเพียงแห่งเดียว สามารถสร้างรายได้มหาศาล จนมีขนาดคิดเป็นเกือบ 1 ใน 7 ของเศรษฐกิจทั้งประเทศ หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
.
แต่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง เวียดนาม
.
และบริษัทที่แบกเศรษฐกิจของเวียดนามก็คือยักษ์ใหญ่แชโบล์จากเกาหลีใต้ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Samsung
.
ความยิ่งใหญ่นี้เองที่สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าตกใจ ในปีโดยข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามรายงานว่าในปี 2024 รายได้ของ Samsung Vietnam เพียงบริษัทเดียว มีมูลค่าสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2 ล้านล้านบาท
.
ตัวเลขนี้มีขนาดคิดเป็น 13.12% ของ GDP เวียดนามทั้งประเทศที่ 4.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15.4 ล้านล้านบาท
.
นี่คือจุดที่น่าทึ่งมาก มันหมายความว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจราว 13% ของเวียดนาม ถูกขับเคลื่อนโดย Samsung แต่เพียงผู้เดียว
.
ไม่เพียงเท่านั้นมูลค่าการส่งออกของเวียดนามก็เป็นสินค้าของ Samsung ถึง 13.4% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งทำให้รายได้ของกลุ่ม Samsung ทั่วโลก 30% มาจากเวียดนาม
.
แล้วทำไมต้องเป็นเกาหลีใต้ ? ในช่วงทศวรรษ 2000 บริษัทเกาหลีใต้กำลังเติบโตอย่างร้อนแรง พวกเขาต้องการฐานการผลิตแห่งใหม่นอกประเทศจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดต้นทุน
.
เวียดนามคือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ไม่ไกลกัน วัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งมั่นคล้ายคลึงกัน และที่สำคัญที่สุดคือนโยบายที่เปิดกว้างของรัฐบาล
.
ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ลงล็อกกันพอดี
.
กระแสการลงทุนจากเกาหลีใต้เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่เวียดนามอย่างต่อเนื่อง และมันได้ถูกเร่งให้แรงขึ้นอีกหลายเท่าตัวในปี 2015
.
ปีนั้น ทั้งสองประเทศได้บรรลุ “ข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-เกาหลี” หรือ VKFTA ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดถนนซูเปอร์ไฮเวย์ให้เงินทุน เทคโนโลยี และสินค้าวิ่งเข้าหากันได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น
.
ตัวเลขการลงทุนที่ปรากฏออกมานั้นน่าทึ่งมาก ณ สิ้นปี 2023 เกาหลีใต้กลายเป็นนักลงทุนเบอร์ 1 ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าการลงทุนสะสมสูงถึง 86,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
มีบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้เข้าไปดำเนินกิจการในเวียดนามมากกว่า 9,000 บริษัท ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือที่เรียกว่า “แชโบล”
.
แต่ท่ามกลางบริษัทเกาหลีหลายพันแห่ง มีอยู่ชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งหมด ชื่อนั้นคือ Samsung Electronics
.
Samsung ไม่ได้แค่เข้ามาสร้างโรงงาน แต่พวกเขาสร้าง “อาณาจักร” การผลิตที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองนอกแผ่นดินแม่
.
จุดเริ่มต้นคือโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือแห่งแรกที่จังหวัด Bac Ninh (บั๊กนิญ) ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 ก่อนจะตามมาด้วยนิคมอุตสาหกรรมขนาดมหึมาอีกแห่งที่จังหวัด Thai Nguyen (ท้ายเงวียน)
.
สองจังหวัดที่เคยเงียบเหงาทางภาคเหนือของเวียดนาม ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสมาร์ทโฟนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปในทันที
.
ลองนึกภาพตามนะครับ โรงงานที่ Thai Nguyen เพียงแห่งเดียว ในช่วงสิบปีแรก สามารถผลิตโทรศัพท์มือถือส่งออกไปทั่วโลกได้มากกว่า 900 ล้านเครื่อง
.
ทุกวันนี้ โทรศัพท์ Samsung Galaxy ที่เราใช้กันอยู่ กว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่ขายทั่วโลก ถูกประทับตราว่า “Made in Vietnam”
.
แต่อิทธิพลของ Samsung ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลขการส่งออก พวกเขายังเป็นนายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยจำนวนพนักงานโดยตรงกว่า 110,000 คน
.
หากนับรวมการจ้างงานทางอ้อม ผ่านเครือข่ายซัพพลายเออร์ท้องถิ่นอีกหลายร้อยบริษัท ตัวเลขอาจสูงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
.
ปัจจุบันไม่ใช่มีเพียงแค่ Samsung ที่เลือกเวียดนามเป็นฐานการผลิตหลัก บริษัทเกาหลีใต้อื่น ๆ ทั้ง LG, KIA,HYUNDAI และอื่น ๆ หลายพันแห่งทั้งหมดนี้รวมกัน ได้สร้างงานให้ชาวเวียดนามไปแล้วไม่ต่ำกว่า 700,000 ตำแหน่ง
.
มาถึงตรงนี้ เราคงพอจะเห็นภาพแล้วว่าสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศนี้มันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่เพียงใด
.
คำถามสุดท้ายคือ แล้วผลลัพธ์ปลายทางที่เวียดนามได้รับคืออะไร ?
.
คำตอบคือ การพลิกโฉมประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ
.
จากประเทศที่เคย “ขาดดุลการค้า” มาตลอด คือนำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออก เวียดนามได้กลายเป็นประเทศที่ “เกินดุลการค้า” อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง
.
และสินค้าที่สร้างดุลการค้ามหาศาลให้ประเทศ ก็คือสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีหัวใจการผลิตมาจากโรงงานของเกาหลีใต้นั่นเอง
.
ทุกครั้งที่เราเห็นข่าวว่า GDP ของเวียดนามเติบโตในระดับ 6-7% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก เราต้องเข้าใจว่าพลังขับเคลื่อนสำคัญก็มาจากการส่งออกที่แข็งแกร่งนี้นี่เอง
.
อย่างไรก็ตาม โมเดลที่พึ่งพิงการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศใดประเทศหนึ่งหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไป ก็ย่อมมีความเสี่ยงซ่อนอยู่
.
ในปี 2023 ที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกลดลง มันก็ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของเวียดนาม และฉุดให้การเติบโตของ GDP ไม่เป็นไปตามเป้า
.
นี่คือบทเรียนที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบาง และเป็นโจทย์ใหญ่ที่เวียดนามต้องหาทางสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจของตัวเองในระยะยาว
Reporter Journey
เศรษฐกิจเวียดนามอยู่ในมือซัมซุง❓
.
ถ้ามีคนบอกว่า บริษัทต่างชาติเพียงแห่งเดียว สามารถสร้างรายได้มหาศาล จนมีขนาดคิดเป็นเกือบ 1 ใน 7 ของเศรษฐกิจทั้งประเทศ หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
.
แต่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง เวียดนาม
.
และบริษัทที่แบกเศรษฐกิจของเวียดนามก็คือยักษ์ใหญ่แชโบล์จากเกาหลีใต้ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Samsung
.
ความยิ่งใหญ่นี้เองที่สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าตกใจ ในปีโดยข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามรายงานว่าในปี 2024 รายได้ของ Samsung Vietnam เพียงบริษัทเดียว มีมูลค่าสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2 ล้านล้านบาท
.
ตัวเลขนี้มีขนาดคิดเป็น 13.12% ของ GDP เวียดนามทั้งประเทศที่ 4.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15.4 ล้านล้านบาท
.
นี่คือจุดที่น่าทึ่งมาก มันหมายความว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจราว 13% ของเวียดนาม ถูกขับเคลื่อนโดย Samsung แต่เพียงผู้เดียว
.
ไม่เพียงเท่านั้นมูลค่าการส่งออกของเวียดนามก็เป็นสินค้าของ Samsung ถึง 13.4% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งทำให้รายได้ของกลุ่ม Samsung ทั่วโลก 30% มาจากเวียดนาม
.
แล้วทำไมต้องเป็นเกาหลีใต้ ? ในช่วงทศวรรษ 2000 บริษัทเกาหลีใต้กำลังเติบโตอย่างร้อนแรง พวกเขาต้องการฐานการผลิตแห่งใหม่นอกประเทศจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดต้นทุน
.
เวียดนามคือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ไม่ไกลกัน วัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งมั่นคล้ายคลึงกัน และที่สำคัญที่สุดคือนโยบายที่เปิดกว้างของรัฐบาล
.
ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ลงล็อกกันพอดี
.
กระแสการลงทุนจากเกาหลีใต้เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่เวียดนามอย่างต่อเนื่อง และมันได้ถูกเร่งให้แรงขึ้นอีกหลายเท่าตัวในปี 2015
.
ปีนั้น ทั้งสองประเทศได้บรรลุ “ข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-เกาหลี” หรือ VKFTA ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดถนนซูเปอร์ไฮเวย์ให้เงินทุน เทคโนโลยี และสินค้าวิ่งเข้าหากันได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น
.
ตัวเลขการลงทุนที่ปรากฏออกมานั้นน่าทึ่งมาก ณ สิ้นปี 2023 เกาหลีใต้กลายเป็นนักลงทุนเบอร์ 1 ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าการลงทุนสะสมสูงถึง 86,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
มีบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้เข้าไปดำเนินกิจการในเวียดนามมากกว่า 9,000 บริษัท ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือที่เรียกว่า “แชโบล”
.
แต่ท่ามกลางบริษัทเกาหลีหลายพันแห่ง มีอยู่ชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งหมด ชื่อนั้นคือ Samsung Electronics
.
Samsung ไม่ได้แค่เข้ามาสร้างโรงงาน แต่พวกเขาสร้าง “อาณาจักร” การผลิตที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองนอกแผ่นดินแม่
.
จุดเริ่มต้นคือโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือแห่งแรกที่จังหวัด Bac Ninh (บั๊กนิญ) ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 ก่อนจะตามมาด้วยนิคมอุตสาหกรรมขนาดมหึมาอีกแห่งที่จังหวัด Thai Nguyen (ท้ายเงวียน)
.
สองจังหวัดที่เคยเงียบเหงาทางภาคเหนือของเวียดนาม ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสมาร์ทโฟนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปในทันที
.
ลองนึกภาพตามนะครับ โรงงานที่ Thai Nguyen เพียงแห่งเดียว ในช่วงสิบปีแรก สามารถผลิตโทรศัพท์มือถือส่งออกไปทั่วโลกได้มากกว่า 900 ล้านเครื่อง
.
ทุกวันนี้ โทรศัพท์ Samsung Galaxy ที่เราใช้กันอยู่ กว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่ขายทั่วโลก ถูกประทับตราว่า “Made in Vietnam”
.
แต่อิทธิพลของ Samsung ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลขการส่งออก พวกเขายังเป็นนายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยจำนวนพนักงานโดยตรงกว่า 110,000 คน
.
หากนับรวมการจ้างงานทางอ้อม ผ่านเครือข่ายซัพพลายเออร์ท้องถิ่นอีกหลายร้อยบริษัท ตัวเลขอาจสูงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
.
ปัจจุบันไม่ใช่มีเพียงแค่ Samsung ที่เลือกเวียดนามเป็นฐานการผลิตหลัก บริษัทเกาหลีใต้อื่น ๆ ทั้ง LG, KIA,HYUNDAI และอื่น ๆ หลายพันแห่งทั้งหมดนี้รวมกัน ได้สร้างงานให้ชาวเวียดนามไปแล้วไม่ต่ำกว่า 700,000 ตำแหน่ง
.
มาถึงตรงนี้ เราคงพอจะเห็นภาพแล้วว่าสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศนี้มันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่เพียงใด
.
คำถามสุดท้ายคือ แล้วผลลัพธ์ปลายทางที่เวียดนามได้รับคืออะไร ?
.
คำตอบคือ การพลิกโฉมประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ
.
จากประเทศที่เคย “ขาดดุลการค้า” มาตลอด คือนำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออก เวียดนามได้กลายเป็นประเทศที่ “เกินดุลการค้า” อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง
.
และสินค้าที่สร้างดุลการค้ามหาศาลให้ประเทศ ก็คือสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีหัวใจการผลิตมาจากโรงงานของเกาหลีใต้นั่นเอง
.
ทุกครั้งที่เราเห็นข่าวว่า GDP ของเวียดนามเติบโตในระดับ 6-7% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก เราต้องเข้าใจว่าพลังขับเคลื่อนสำคัญก็มาจากการส่งออกที่แข็งแกร่งนี้นี่เอง
.
อย่างไรก็ตาม โมเดลที่พึ่งพิงการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศใดประเทศหนึ่งหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไป ก็ย่อมมีความเสี่ยงซ่อนอยู่
.
ในปี 2023 ที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกลดลง มันก็ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของเวียดนาม และฉุดให้การเติบโตของ GDP ไม่เป็นไปตามเป้า
.
นี่คือบทเรียนที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบาง และเป็นโจทย์ใหญ่ที่เวียดนามต้องหาทางสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจของตัวเองในระยะยาว
Reporter Journey