คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
การที่คน เห็นแก่เจ็บตายทุกวัน เห็นการพรัดพราก เป็นของประจำโลก เห็นความสูญเสีย ความไม่เป็นดั่งใจทุกวัน
การเห็นนั้นก็สักแต่ว่าเห็น แต่ไม่เข้าใจ การเห็นนั้นต้องประกอบด้วยปัญญา เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
คำว่าอสุภะหมายถึงสิ่งไม่สวยงาม แม้เป็นสิ่งหมู่ชนไม่ยินดี แต่ทำไมแต่งงานกันได้
เพราะมองเฉพาะส่วนความไม่ยินดี ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง
ส่วนเป็นความยยินดี เป็นอีกส่วน แยกกันไป
พูดง่ายๆว่า ส่วนยินดี จึงหลงไหล
ส่วนไม่ยินดี ตนไม่อยากได้
เมื่อบุคคลได้ใช้ปัญญาสดับพระธรรมเทศนาเชื่อมโยงว่า ความยินดีไม่ยินดีทั้งหลาย ล้วนมาคู่กัน ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน ที่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งไปอีกสิ่ง
ก็อสุภะ คือความมีอยู่ ก็อสุภะนั้นพิจารนามาจากอะไร ก็พิจารนาจากสุภะ
ดอกไม้สวยงาม ท่านก็ตรัสถึงความเปลี่ยนแปลงว่า สวยงามนำไปสู่ความไม่งามได้อย่างไร
ดังนั้นความพอใจก็นำไปสู่ความไม่พอใจด้วย ความสุขก็นำไปสู่ทุกข์ด้วย เช่นกัน
การตั้งความเห็นว่า เห็นไตรลักษณ์ เห็นเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะตอนยังไม่มีศาสนา คนก็เห็น เห็นว่า สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลง คนก็เห็น เห็นว่าทุกข์ศาสนาใดก็เห็น เห็นการพรัดพราก เห็นสิ่งอสุภะ สุภะใครก็เห็นเหมือนกันทุกชาติศาสนา
เห็นแต่สักว่าเห็น เห็นแต่ไม่เข้าใจ ไม่สามารถเชื่อมได้โยง ว่าสิ่งที่ตนปรารถนานั้นล่ะคือกองทุกข์เช่นกัน
เห็นแต่ว่าอสุภะเป็นกองทุกข์ แต่ไม่เห็นว่าสุภะนี่ล่ะคือกองทุกข์ที่ใหญ่กว่า
การเห็นโดยความเข้าใจนั้น เห็นได้ยาก การเห็นในสิ่งที่ยังไม่ปรากฏจึงเห็นได้ยาก
เห็นว่าตนต้องตายเป็นแน่แท้ การเห็นนั้นจึงใช้ปัญญา ใข้ความจริง เข้าไปเห็น เพราะตนยังไม่ตาย แต่รู้เห็นว่าเป็นจริง โดยการใช้ปัญญาเปรียบเทียบเข้าไป แต่แม้จะเห็น ก็ยังไม่ชัด เข้าใจก็ยังไม่ชัด จึงต้องให้ปัญญาสอดส่องเข้าไป จึงเห็นชัด เกิดความเข้าใจ เกิดความแยบคายสิ้นสงสัยว่า สุภะนำไปสู่อสุภะอย่างไร ความน่าพอใจหลงไหล นำไปสู่ความน่าสะอิดสะเอียนอย่างไร
มันจึงเกิดจากการเปรียบเทียบ เทียบว่าสิ่งหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่ง ต่างกันอย่าไร เหมือนอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทั้งที่เป็นสิ่งเดียวกัน
อุปมาเข้าหากันเพื่อที่จะเปรียบเทียบ จึงจะเกิดความเข้าใจ
การเห็นนั้นก็สักแต่ว่าเห็น แต่ไม่เข้าใจ การเห็นนั้นต้องประกอบด้วยปัญญา เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
คำว่าอสุภะหมายถึงสิ่งไม่สวยงาม แม้เป็นสิ่งหมู่ชนไม่ยินดี แต่ทำไมแต่งงานกันได้
เพราะมองเฉพาะส่วนความไม่ยินดี ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง
ส่วนเป็นความยยินดี เป็นอีกส่วน แยกกันไป
พูดง่ายๆว่า ส่วนยินดี จึงหลงไหล
ส่วนไม่ยินดี ตนไม่อยากได้
เมื่อบุคคลได้ใช้ปัญญาสดับพระธรรมเทศนาเชื่อมโยงว่า ความยินดีไม่ยินดีทั้งหลาย ล้วนมาคู่กัน ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน ที่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งไปอีกสิ่ง
ก็อสุภะ คือความมีอยู่ ก็อสุภะนั้นพิจารนามาจากอะไร ก็พิจารนาจากสุภะ
ดอกไม้สวยงาม ท่านก็ตรัสถึงความเปลี่ยนแปลงว่า สวยงามนำไปสู่ความไม่งามได้อย่างไร
ดังนั้นความพอใจก็นำไปสู่ความไม่พอใจด้วย ความสุขก็นำไปสู่ทุกข์ด้วย เช่นกัน
การตั้งความเห็นว่า เห็นไตรลักษณ์ เห็นเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะตอนยังไม่มีศาสนา คนก็เห็น เห็นว่า สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลง คนก็เห็น เห็นว่าทุกข์ศาสนาใดก็เห็น เห็นการพรัดพราก เห็นสิ่งอสุภะ สุภะใครก็เห็นเหมือนกันทุกชาติศาสนา
เห็นแต่สักว่าเห็น เห็นแต่ไม่เข้าใจ ไม่สามารถเชื่อมได้โยง ว่าสิ่งที่ตนปรารถนานั้นล่ะคือกองทุกข์เช่นกัน
เห็นแต่ว่าอสุภะเป็นกองทุกข์ แต่ไม่เห็นว่าสุภะนี่ล่ะคือกองทุกข์ที่ใหญ่กว่า
การเห็นโดยความเข้าใจนั้น เห็นได้ยาก การเห็นในสิ่งที่ยังไม่ปรากฏจึงเห็นได้ยาก
เห็นว่าตนต้องตายเป็นแน่แท้ การเห็นนั้นจึงใช้ปัญญา ใข้ความจริง เข้าไปเห็น เพราะตนยังไม่ตาย แต่รู้เห็นว่าเป็นจริง โดยการใช้ปัญญาเปรียบเทียบเข้าไป แต่แม้จะเห็น ก็ยังไม่ชัด เข้าใจก็ยังไม่ชัด จึงต้องให้ปัญญาสอดส่องเข้าไป จึงเห็นชัด เกิดความเข้าใจ เกิดความแยบคายสิ้นสงสัยว่า สุภะนำไปสู่อสุภะอย่างไร ความน่าพอใจหลงไหล นำไปสู่ความน่าสะอิดสะเอียนอย่างไร
มันจึงเกิดจากการเปรียบเทียบ เทียบว่าสิ่งหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่ง ต่างกันอย่าไร เหมือนอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทั้งที่เป็นสิ่งเดียวกัน
อุปมาเข้าหากันเพื่อที่จะเปรียบเทียบ จึงจะเกิดความเข้าใจ
แสดงความคิดเห็น
เป็นหมอ,พยาบาล เห็นคนเจ็บ คนตาย อสุภะทุกวัน ทำไมยังแต่งงานได้ครับ? ห้ามตอบน่ะครับว่าถ้าเป็นอาชีพอื่นแย่กว่านี้อีก