ครั้งแรกของโลก! เมื่อ ’สมาร์ทวอทช์’ จับความเสี่ยง 'ภาวะหัวใจล้มเหลว’ ได้

KEY POINTS
ซัมซุงเปิดตัวฟีเจอร์บน Galaxy Watch ที่สามารถคัดกรองความเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะเริ่มต้น (LVSD) ได้เป็นครั้งแรกของโลก

เทคโนโลยีนี้ใช้อัลกอริธึม AI วิเคราะห์ข้อมูลคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) จากนาฬิกา และได้รับการอนุมัติจากกระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาของเกาหลีใต้ (MFDS) แล้ว

การตรวจพบภาวะหัวใจล้มเหลวตั้งแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง และจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
ซัมซุง ได้ประกาศฟีเจอร์ LVSD detection ใน Galaxy Watch ของตนเอง โดยระบุว่าได้ร่วมกับ Medical AI บริษัทด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ผู้คิดค้น

แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า AiTiA LVSD-1L ที่สามารถใช้อัลกอริธึม AI วิเคราะห์ ECG จากนาฬิกาเพื่อคัดกรองภาวะหัวใจล้มเหลวระยะแรก เมื่อวันที่  1 ตุลาคมที่ผ่านมา

จากข้อมูลในเว็บไซต์ของ ซัมซุง ระบุว่าเทคโนโลยีนี้กำลังจะสามารถตรวจพบและติดตามภาวะ Left Ventricular Systolic Dysfunction (LVSD) ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นภาวะโรคหัวใจรุนแรงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจล้มเหลวราว 50%
 

สำหรับโรคหัวใจล้มเหลวเป็นหนึ่งในโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด โดยมีอัตราการอยู่รอดเพียงราว 50% ภายใน 5 ปีหลังการวินิจฉัย  ทำให้การตรวจพบภาวะ LVSD ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากวินิจฉัยได้เร็วและให้การรักษา รวมถึงปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้ทันเวลา จะช่วยลดการนอนโรงพยาบาลและลดความเสี่ยงเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
 

ทั้งนี้ ซัมซุงได้ให้รายละเอียดว่าอัลกอริธึม AI ดังกล่าวพัฒนามาจากระบบวิเคราะห์สัญญาณแบบ 12-lead ECG ซึ่งถูกใช้งานในโรงพยาบาลชั้นนำกว่า 100 แห่งในเกาหลีใต้ และรองรับผู้ป่วยมากกว่า 120,000 รายต่อเดือน
 

ความน่าเชื่อถือจากการใช้งานจริงในคลินิกนี้ นำไปสู่การได้รับการอนุมัติจาก กระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาของเกาหลีใต้ (MFDS) ทำให้สมาร์ทวอทช์ของซัมซุงเป็นอุปกรณ์แบบสวมใส่เครื่องแรกของโลกที่ได้รับความสามารถในการตรวจหา LVSD
 

ซัมซุง มองว่าเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยคัดกรองผู้ที่ยังไม่มีอาการ (asymptomatic) แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากโรคหัวใจล้มเหลว ผ่านการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับทิศทางด้านสาธารณสุขระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเฉพาะบุคคล การป้องกันเชิงรุก การลดภาระระบบสุขภาพ และการผลักดันการใช้ AI ในทางการแพทย์อีกด้วย
 

ขณะเดียวกันฝั่งผู้ผลิตและสถาบันวิจัยรายอื่นก็กำลังมุ่งหน้าไปในแนวทางนี้เช่นกัน อย่างในกรณีของ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yale และ University of Connecticut (UConn) พัฒนาแอปที่ใช้ AI วิเคราะห์สัญญาณ ECG แบบ single-lead จากสมาร์ทวอทช์ เพื่อระบุโรคหัวใจ โดยจะวิเคราะห์โครงสร้าง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจหนา หรือการบีบตัวของหัวใจลดลง ซึ่งเป็นโรคที่ปกติจะตรวจได้จากการทำอัลตราซาวนด์หัวใจเท่านั้น

โดยนักวิจัยระบุว่าโมเดล AI สามารถคัดกรองภาวะเสี่ยงได้ แม้ ECG บนสมาร์ทวอทช์จะมีความละเอียดต่ำกว่ามาตรฐานโรงพยาบาล แต่มีศักยภาพในการช่วยให้คนไข้เข้ารับการตรวจที่เหมาะสมได้เร็วขึ้น
 

อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยี Wearable ทางการแพทย์ (อุปกรณ์สวมใส่ที่มีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพ) รวมไปถึง 'สมาร์ทวอทช์' จะก้าวเร็ว แต่งานวิจัยจากวารสาร Nature Digital Medicine, JMIR mHealth and uHealth และกลุ่มนักวิจัยด้าน SaMD ของ FDA ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การเติบโตของเทคโนโลยีสวมใส่ด้านสุขภาพ (wearable health devices) เร็วกว่าโครงสร้างกำกับดูแล (regulation) ของหลายประเทศ

ทำให้อุปกรณ์จำนวนหนึ่งอยู่ใน ‘เขตสีเทา’ ระหว่าง 'อุปกรณ์เพื่อสุขภาพทั่วไป' (เน้นไปในทาง Wellness)  กับ 'อุปกรณ์การแพทย์' ที่ต้องผ่านการรับรองด้านความปลอดภัยและความแม่นยำเช่นจาก FDA หรือองค์การควบคุมกำกับในแต่ละประเทศ ในขณะเดียวกันหลายฟีเจอร์มีศักยภาพระดับการแพทย์ แต่ก็ไม่ได้รับการรับรองเต็มรูปแบบ เพราะหน่วยงานกำกับยังคงไล่ตามการเติบโตของเทคโนโลยีไม่ทันอีกด้วย.



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่