ก่อนอื่นขอเเนะนำตัวก่อนนะคะ ตอนนี้อายุ 19 ปีค่ะ มีเเฟนเเล้วค่ะ เเละกำลังอยู่ในช่วงพยายามอ่านหนังสือเพื่อสอบ admission อีกรอบค่ะ
.....................
ตอนนี้ชีวิตหนูค่อนข้างยุ่งเหยิงนิดหน่อยค่ะ ระหว่างที่เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ ขอสารภาพก่อนว่าหนูไม่ได้ซิงเเล้วนะคะ เคยมีอะไรกับเเฟนเเล้วค่ะ(คนนี้เเหละค่ะ) ซึ่งมีไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน เเละโดนพ่อถาม(จับได้)ในเดือนตุลาคมค่ะ เเละตอนนี้ไงดีคะ บรรยากาศก็มาคุนิดนึง + หนูก็เเอบสับสนหน่อยๆค่ะ
1.หนูมีอะไรกับเเฟนล่าสุดเดือนกันยา ตามที่ว่าไป ซึ่งจากทีมีอะไรกัน ทุกครั้งหนูจะชอบกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เสมอ(หนูป้องกันดีทุกรอบนะคะ เช็คทุกรอบด้วย เเละรู้ถึง % ที่จะพลาดได้ค่ะ) คือไงดีคะ มันเเค่กังวลขึ้นมาดื้อๆเลย ซึ่งวิธีเเก้ปัญหาก็คือ เราคุยกับเเฟนตรงๆเลยค่ะ ว่าไม่อยากมีเเล้ว ซึ่งเเฟนเราก็เข้าใจ เเละทำตามที่เราต้องการค่ะ(ไม่มีsexอีกหลังจากนี้) เเฟนเราก็รับรู้ได้ค่ะว่าเราเครียดมาก เราคุยเรื่องนี้กันจบตั้งเเต่เดือนกันยาเเล้วค่ะ
2. เดือนตุลาคม พ่อเราดันถามเราขึ้นมา ว่าเคยมีอะไรกันนรึยัง ซึ่งเราก็ไม่อยากโกหก(เเละเเอบคาดหวังว่าถ้าเราอธิบายพ่อเเม่ก็คงเข้าใจละมั้ง) เลยบอกไปตามตรงค่ะ เเล้วก็บอกด้วยว่า เราตกลงกับเเฟนว่าจะไม่ทำกันอีก + ทุกครั้งที่ทำเราป้องกันดีตลอด ตอนเเรกก็ดูเหมือนพ่อจะเข้าใจ พ่อเราถามว่าป้องกันมั้ยนั่นนี่เราก็ตอบไป เเกก็น้ำตาคลอนิดๆเเล้วก็กอดเราค่ะ เราก็เเอบห่วงๆความรู้สึกเเกอยู่ค่ะ เเต่ผ่านไป 2-3วัน เเกก็มาบอกเราว่า ห้ามมีอะไรกับเเฟนอีก เราก็ไม่อะไรตอบรับปาก เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เราตั้งใจไว้เหมือนกัน เเต่หลังจากประโยคนั้น เเกก็พูดเรื่องคุณค่าขึ้นมาค่ะ บอกว่าเราบริสุทธิ์มีคุณค่า ดันเอาไปให้เค้า(ฟีลเหมือนเราเสียคุณค่า) เเละบอกว่า เเฟนเราก็คงเอาไปโม้กับเพื่อนเขาเเล้วล่ะ เราไม่ชอบประโนคตรงนี้เลยค่ะ เพราะเอาจริงๆเเฟนเราเป็นคนเงียบมากๆ เค้ามีกลุ่มเพื่อนอยู่3-4คน ก็คุยกันเเต่เรื่องเกม เราเคยถามเค้า เค้าก็บอกเค้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครเลย (จะว่าเราเเอบเข้าข้างเเฟนก็ได้ค่ะ เเต่เราว่าไม่เเฟร์เท่าไหร่ที่พ่อเรามาตัดสินเเฟนเราเเบบนี้)
ระหว่างเเฟนเราเเละบ้านเรา ค่อนข้างพูดยากค่ะ บ้านเราค่อนข้างพิธีการนิดหน่อยซึ่งเเฟนเราในช่วงเเรกเค้าก็ไม่ทราบค่ะ เราก็บอกเขาดีๆ เขาก็ปรับตัวให้ค่ะ เช่น พ่อเราเคยพูดถึงว่าเเฟนเราทำไมมาบ้านหลายครั้ง ไม่ซื้อผลไม้อะไรมาบ้างเลย(อันนี้เราเข้าใจมุมผู้ใหญ่ค่ะ ว่าเเฟนเราเป็นเเฟนมาหาเราประจำ การซื้อของมาฝากผู้ใหญ่ก็เป็นมารยาทอย่างหนึ่ง เราเลยบอกเรื่องนี้กับเเฟนเราเป็นเชิงพูดคุยค่ะ เเฟนเราเข้าก็รับทราบเข้าใจ หลังจากนั้นเขาก็ซื้อผลไม้เอย ขนมเอยมาฝากค่ะ) คือเเฟนเรากับเราบ้านห่างกัน 30 kg. คนละอำเภอกันค่ะ เเต่เเฟนก็มาหาตลอดค่ะ เเฟนคอยซัพพอร์ทเราตั้งเเต่เราเริ่มทำพอร์ทส่งมหาลัย(เเฟนมาช่วยออกเเบบซึ่ง ติด ด้วยค่ะ) คอยเป็นกำลังใจให้เราเวลาอ่านหนังสือ เเละเข้าใจเราเสมอค่ะถ้าเราต้องการเวลาอ่านหนังสือ เราก็ช่วยดันเขาเช่นกันค่ะ จากตอนเเรกที่ไม่ค่อยมีเป้าหมาย ก็เริ่มพัฒนาตัวเอง หางานทำ(ตอนนี้ทำงานอยู่)(ลืมบอกเเฟนอายุ20ค่ะ จบม.6เเล้ว เเต่ยังไม่ต่อมหาลัยค่ะ)
อย่างที่ว่าไปว่าเเฟนมาบ้านเราบ่อยค่ะ เเต่ไม่รู้ทำไม พ่อเเม่เราถึงไม่ทำความรู้จักเเฟนเราเลยค่ะ(บางทีก็เเอบนอยค่ะ เหมือนไม่เปิดอก) คือเเฟนเราพูดน้อยก็จริงค่ะ เเต่เขาก็พยายามที่จะคุยกับคนที่บ้านเราเเล้วค่ะ เเต่บ้านเราก็เเบบถามคำตอบคำค่ะ บางทีก็เขาก็ซื้อขนม น้ำชามาฝากบ้าง เเต่ไม่รู้สิคะ ระดับความรู้จักไม่เพิ่มขึ้นเลย พ่อเเม่เราไม่เคยชวนเเฟนเราพูดคุย เเม้กระทั่งเรื่องคนในบ้านหรืออะไรเลยค่ะ เเต่เรื่องคบกันเเกก็ไม่เคยห้ามนะคะ
นั่นละค่ะ จากที่ว่ามายาวเหยียด ประเด็นคือพอ พ่อเเม่รู้เรื่องนี้บรรยากาศมันก็ยิ่งกระอีกกระอ่วนค่ะ
3. ตอนนี้ก็รู้เรื่องที่เรามี พศพ.กับเเฟนทั้งพ่อเเละเเม่เเล้วค่ะ หลังจากรู้ ก็ทะเลาะกันไปเเมทต์นึง ตอนนี้คือ เราเงียบใส่คนในบ้านไปเลยค่ะ ตอนที่ทะเลาะกันคือ เเม่ถามเราว่า เรามี พศพ. กับเเฟนเเล้วเหรอ ให้มาคุยกับเเม่เเบบเปิดอก เรารู้อยู่เเล้วว่ามันไม่ใช่เเบบนั้นเเน่นอน เเล้วมันก็จริงค่ะ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่การเปิดอกเลยค่ะ เเต่มันคือการสอบสวน เเละเรากำลังถูกตัดสินค่ะ เเบบเเม่ถามเราว่าเราจะเอายังไงต่อ เราก็บอกไปว่าเราก็จะอ่านหนังสือ ไปสอบให้ผ่าน ไปดรียนต่อ เเต่ที่เเม่ถามไม่ได้หมายถึงเเบบนั้นค่ะ เเต่หมายถึง เราเเเละเเฟนวาวเเผนชีวิตกันยังไง จะใช้ชีวิตคู่ กันยังไงต่อ ซึ่งเราอึ้งมากค่ะที่เเบบ เเม่ถามเเบบนี้ **มุมมองเรา** คือเรารู้สึกว่า จริงอยู่ที่เรามีอะไรกันเเล้ว เเต่ด้วยวัยเราตอนนี้ เราก็ยังไม่อยากจะมาสร้างชีวิตคู่อะไรเเบบนั้น (เราถึงคุยกับเเฟนเรื่องงด พสพ.ไง เเละตอนมี พสพ. เราก็เข้มงวดกับเเฟนมากๆด้วยว่าอะไรห้ามทำ) เเเต่เเม่เราดันจะให้เราคิดเรื่องนั้นเลย เราเลยบอกไปว่าเเม่จะรีบไปไหน น้องยังจะเรียนก่อน เเล้วก็ตู้มๆๆเลยค่ะ (มีหลายเรื่องมากๆค่ะ) เราตัดสินใจจะเงียบดีกว่าค่ะหลังจากนี้ เพราะรู้สึกว่าพูด อธิบายอะไรไปพ่อเเม่ก็ไม่ค่อยสนความเห็นเราอยู่ดี เเละจะไม่คาดหวังให้พ่อเเม่มาเข้าใจอีกค่ะ
4. บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดเลยล่ะค่ะ เเม่เราก็ไม่ได้อะไรกับเราอีก(ต่างคนต่างเงียบใส่เลยค่ะ) พ่อก็บ่นๆบ้างค่ะ เช่นตอนเเรกๆที่เราไม่พูด พ่อก็เชิงบ่น เชิงขึ้นเสียงใส่เราบ้าง ว่าเป็นครอบครัวทำไมไม่พูด เห็นครอบครัวเป็นศัตรูเเล้วใช่มั้ย เเล้วพอเราบอกว่า เเฟนจะไม่มาบ้านอีก(เราบอกเเฟนเอง) พ่อเราก็บอกว่า ทำไมละ ก็มาได้นั่นนี่ เเต่ล่าสุดที่เเฟนเรามา พ่อเราก็มาจับผิดว่าทำอะไร ไม่ได้ไปนอนเล่นกันบนเตียงใช่มั้ย เเบบนั้นหยามหน้าพ่อเเล้ว(พ่อเเม่เราไปทำงาน ตอนนั้นมีเรา เเฟน เเละน้องสาวอยู่บ้าน) เราก็บอกว่ามานั่งเล่น พอพ่อเราบอกเเบบนี้เราเลยบอกเเฟนว่าอย่ามาก เเบบเดิมดีเเล้ว
ปล. ปีที่เเล้วเราติดมหาลัยเเล้วค่ะ รอบพอร์ท 1 โควต้า 1 เเอด 1 เเต่เราดันเรื่องมาก ไม่เอา555 เพราะไม่ใช่คณะที่มุ่งจริงๆ ปีนี้เลยกำลังพยายามอ่านหนังสือสอบใหม่ในปีนี้ค่ะ
ปล.2 เราไม่ใช่คนชอบเที่ยวขนาดนั้นค่ะ เราอยู่บ้านอ่านหนังสือส่วนนึง ไม่ก็ดูหนังอะไรไป กับเเฟนเจอกันสัปดหาละ 1ครั้งค่ะ มากสุด 2 ครั้ง เเต่บางสัปดาห์ก็ไม่เจอค่ะ เพราะเราจะอ่านหนังสือ เเฟนคนนี้เป็นคนเเรกที่มี พสพ.ด้วยค่ะ เเล้วก็เป็นครนเเรกที่มาให้บ้านเราเห็นบ่อยๆ
>> สิ่งที่เราอยากปรึกษาทุกคนคือ
1. เราควรจัดการอารมณ์ยังไงดีคะ เเบบ ตอนนี้ราพยายามโฟกัสกับการอ่านมากๆ เพราะเราอยากติดมหาลัยเเล้วค่ะ เเต่บางทีคนในบ้านก็ทำให้เรารู้สึกดาวน์หน่อยๆค่ะ เเบบไม่รู้สิคะ บางทีก็นอยๆทั้งๆที่เราก็พยายามอ่านหนังสือ พ่อเเม่เราก็เห็น เเเต่เค้าดันไปโฟกัสเรื่อง พสพ.ที่ผ่านมาเเล้วของเราสะงั้น
2. มันผิดมั้ยคะ ที่เราไม่ได้อินกับเรื่องคุณค่ากับการมี พสพ. คือ**มุมเรา** มองว่าตัวเรา คนเรา มีสิ่งอื่นที่มองได้ว่าเป็นคุณค่าตั้งเยอะ เช่น การเรียนเก่ง หาเงินเก่ง ใช้ชีวิตมีความสุข เป็นคนที่ดีของสังคมงี้อ่าค่ะ;^; คือถ้าเราไม่ทำตัวเอง/คนรอบตัวเดือดร้อน ไม่ได้นอกใจเเฟน มันก็ไม่ได้ลดคุณค่าเราลง เเต่ส่วนที่หนูไม่มี พสพ.กับเเฟนอีก นั่นก็เพราะเห็นถึงความเสี่ยงที่มันเกิดขึ่นได้ ซึ่งตอนนี้หนูยังไม่พร้อมรับเลยหยุดไปก่อน เรื่องคุณค่าหนูว่าก็ยังเท่าเดิมค่ะ เเบบว่าหนูก็ยัง ช่วยงานบ้าน ดูเเลน้องสาว เรียน มีเป้าหมายได้เหมือนเดิมอ่าค่ะ หรือจริงๆเเล้วเรื่องนี้ไม่มีผิดถูกคะ เเต่ขึ้นกับมุมมองของคนเเต่ละคน
3. เราทำถูกมั้ยคะ ที่เราบอกเเฟนว่าอย่ามาเจอที่บ้านเราอีกจะดีกว่า(ในตอนนี้) เพราะ มุมเรามองว่า ตอนนี้ไม่อยากให้เเฟนรู้สึกกดดันเกิน เเละไม่อยากให้ความรู้สึกทั้ง 2 ฝ่ายเเย่ไปกว่านี้ค่ะ เราอยากจะดูเขาต่อไปอีกว่าจะพัฒนาไปทางไหนค่ะ เเล้วไว้ถ้าเค้า+เราโตกว่านี้ค่อยมาคุยกับพ่อเเม่เราค่ะ
ปล. เผื่อบางคนถามนะคะ ว่าถ้าเเฟนทิ้งเรา หรือต้องเลิกกันจะทำไง.. ส่วนตัวเราคิดว่าคงเสียใจในช่วงเเรกค่ะ เเต่เราจะพยายามกลับมาโฟกัสกับหน้าที่+เป้าหมายของเราต่อให้เร็วที่สุดค่ะ
เราเขียนยาวมากก จนอยากกจะให้รางวัลกับคนที่อ่านจนจบเลยค่ะ555
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำปรึกษานะคะ ขอบคุณที่อ่านจบด้วยค่ะ
ขอปรึกษาในเรื่องการมี sex ค่ะ
.....................
ตอนนี้ชีวิตหนูค่อนข้างยุ่งเหยิงนิดหน่อยค่ะ ระหว่างที่เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ ขอสารภาพก่อนว่าหนูไม่ได้ซิงเเล้วนะคะ เคยมีอะไรกับเเฟนเเล้วค่ะ(คนนี้เเหละค่ะ) ซึ่งมีไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน เเละโดนพ่อถาม(จับได้)ในเดือนตุลาคมค่ะ เเละตอนนี้ไงดีคะ บรรยากาศก็มาคุนิดนึง + หนูก็เเอบสับสนหน่อยๆค่ะ
1.หนูมีอะไรกับเเฟนล่าสุดเดือนกันยา ตามที่ว่าไป ซึ่งจากทีมีอะไรกัน ทุกครั้งหนูจะชอบกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เสมอ(หนูป้องกันดีทุกรอบนะคะ เช็คทุกรอบด้วย เเละรู้ถึง % ที่จะพลาดได้ค่ะ) คือไงดีคะ มันเเค่กังวลขึ้นมาดื้อๆเลย ซึ่งวิธีเเก้ปัญหาก็คือ เราคุยกับเเฟนตรงๆเลยค่ะ ว่าไม่อยากมีเเล้ว ซึ่งเเฟนเราก็เข้าใจ เเละทำตามที่เราต้องการค่ะ(ไม่มีsexอีกหลังจากนี้) เเฟนเราก็รับรู้ได้ค่ะว่าเราเครียดมาก เราคุยเรื่องนี้กันจบตั้งเเต่เดือนกันยาเเล้วค่ะ
2. เดือนตุลาคม พ่อเราดันถามเราขึ้นมา ว่าเคยมีอะไรกันนรึยัง ซึ่งเราก็ไม่อยากโกหก(เเละเเอบคาดหวังว่าถ้าเราอธิบายพ่อเเม่ก็คงเข้าใจละมั้ง) เลยบอกไปตามตรงค่ะ เเล้วก็บอกด้วยว่า เราตกลงกับเเฟนว่าจะไม่ทำกันอีก + ทุกครั้งที่ทำเราป้องกันดีตลอด ตอนเเรกก็ดูเหมือนพ่อจะเข้าใจ พ่อเราถามว่าป้องกันมั้ยนั่นนี่เราก็ตอบไป เเกก็น้ำตาคลอนิดๆเเล้วก็กอดเราค่ะ เราก็เเอบห่วงๆความรู้สึกเเกอยู่ค่ะ เเต่ผ่านไป 2-3วัน เเกก็มาบอกเราว่า ห้ามมีอะไรกับเเฟนอีก เราก็ไม่อะไรตอบรับปาก เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เราตั้งใจไว้เหมือนกัน เเต่หลังจากประโยคนั้น เเกก็พูดเรื่องคุณค่าขึ้นมาค่ะ บอกว่าเราบริสุทธิ์มีคุณค่า ดันเอาไปให้เค้า(ฟีลเหมือนเราเสียคุณค่า) เเละบอกว่า เเฟนเราก็คงเอาไปโม้กับเพื่อนเขาเเล้วล่ะ เราไม่ชอบประโนคตรงนี้เลยค่ะ เพราะเอาจริงๆเเฟนเราเป็นคนเงียบมากๆ เค้ามีกลุ่มเพื่อนอยู่3-4คน ก็คุยกันเเต่เรื่องเกม เราเคยถามเค้า เค้าก็บอกเค้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครเลย (จะว่าเราเเอบเข้าข้างเเฟนก็ได้ค่ะ เเต่เราว่าไม่เเฟร์เท่าไหร่ที่พ่อเรามาตัดสินเเฟนเราเเบบนี้)
ระหว่างเเฟนเราเเละบ้านเรา ค่อนข้างพูดยากค่ะ บ้านเราค่อนข้างพิธีการนิดหน่อยซึ่งเเฟนเราในช่วงเเรกเค้าก็ไม่ทราบค่ะ เราก็บอกเขาดีๆ เขาก็ปรับตัวให้ค่ะ เช่น พ่อเราเคยพูดถึงว่าเเฟนเราทำไมมาบ้านหลายครั้ง ไม่ซื้อผลไม้อะไรมาบ้างเลย(อันนี้เราเข้าใจมุมผู้ใหญ่ค่ะ ว่าเเฟนเราเป็นเเฟนมาหาเราประจำ การซื้อของมาฝากผู้ใหญ่ก็เป็นมารยาทอย่างหนึ่ง เราเลยบอกเรื่องนี้กับเเฟนเราเป็นเชิงพูดคุยค่ะ เเฟนเราเข้าก็รับทราบเข้าใจ หลังจากนั้นเขาก็ซื้อผลไม้เอย ขนมเอยมาฝากค่ะ) คือเเฟนเรากับเราบ้านห่างกัน 30 kg. คนละอำเภอกันค่ะ เเต่เเฟนก็มาหาตลอดค่ะ เเฟนคอยซัพพอร์ทเราตั้งเเต่เราเริ่มทำพอร์ทส่งมหาลัย(เเฟนมาช่วยออกเเบบซึ่ง ติด ด้วยค่ะ) คอยเป็นกำลังใจให้เราเวลาอ่านหนังสือ เเละเข้าใจเราเสมอค่ะถ้าเราต้องการเวลาอ่านหนังสือ เราก็ช่วยดันเขาเช่นกันค่ะ จากตอนเเรกที่ไม่ค่อยมีเป้าหมาย ก็เริ่มพัฒนาตัวเอง หางานทำ(ตอนนี้ทำงานอยู่)(ลืมบอกเเฟนอายุ20ค่ะ จบม.6เเล้ว เเต่ยังไม่ต่อมหาลัยค่ะ)
อย่างที่ว่าไปว่าเเฟนมาบ้านเราบ่อยค่ะ เเต่ไม่รู้ทำไม พ่อเเม่เราถึงไม่ทำความรู้จักเเฟนเราเลยค่ะ(บางทีก็เเอบนอยค่ะ เหมือนไม่เปิดอก) คือเเฟนเราพูดน้อยก็จริงค่ะ เเต่เขาก็พยายามที่จะคุยกับคนที่บ้านเราเเล้วค่ะ เเต่บ้านเราก็เเบบถามคำตอบคำค่ะ บางทีก็เขาก็ซื้อขนม น้ำชามาฝากบ้าง เเต่ไม่รู้สิคะ ระดับความรู้จักไม่เพิ่มขึ้นเลย พ่อเเม่เราไม่เคยชวนเเฟนเราพูดคุย เเม้กระทั่งเรื่องคนในบ้านหรืออะไรเลยค่ะ เเต่เรื่องคบกันเเกก็ไม่เคยห้ามนะคะ
นั่นละค่ะ จากที่ว่ามายาวเหยียด ประเด็นคือพอ พ่อเเม่รู้เรื่องนี้บรรยากาศมันก็ยิ่งกระอีกกระอ่วนค่ะ
3. ตอนนี้ก็รู้เรื่องที่เรามี พศพ.กับเเฟนทั้งพ่อเเละเเม่เเล้วค่ะ หลังจากรู้ ก็ทะเลาะกันไปเเมทต์นึง ตอนนี้คือ เราเงียบใส่คนในบ้านไปเลยค่ะ ตอนที่ทะเลาะกันคือ เเม่ถามเราว่า เรามี พศพ. กับเเฟนเเล้วเหรอ ให้มาคุยกับเเม่เเบบเปิดอก เรารู้อยู่เเล้วว่ามันไม่ใช่เเบบนั้นเเน่นอน เเล้วมันก็จริงค่ะ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่การเปิดอกเลยค่ะ เเต่มันคือการสอบสวน เเละเรากำลังถูกตัดสินค่ะ เเบบเเม่ถามเราว่าเราจะเอายังไงต่อ เราก็บอกไปว่าเราก็จะอ่านหนังสือ ไปสอบให้ผ่าน ไปดรียนต่อ เเต่ที่เเม่ถามไม่ได้หมายถึงเเบบนั้นค่ะ เเต่หมายถึง เราเเเละเเฟนวาวเเผนชีวิตกันยังไง จะใช้ชีวิตคู่ กันยังไงต่อ ซึ่งเราอึ้งมากค่ะที่เเบบ เเม่ถามเเบบนี้ **มุมมองเรา** คือเรารู้สึกว่า จริงอยู่ที่เรามีอะไรกันเเล้ว เเต่ด้วยวัยเราตอนนี้ เราก็ยังไม่อยากจะมาสร้างชีวิตคู่อะไรเเบบนั้น (เราถึงคุยกับเเฟนเรื่องงด พสพ.ไง เเละตอนมี พสพ. เราก็เข้มงวดกับเเฟนมากๆด้วยว่าอะไรห้ามทำ) เเเต่เเม่เราดันจะให้เราคิดเรื่องนั้นเลย เราเลยบอกไปว่าเเม่จะรีบไปไหน น้องยังจะเรียนก่อน เเล้วก็ตู้มๆๆเลยค่ะ (มีหลายเรื่องมากๆค่ะ) เราตัดสินใจจะเงียบดีกว่าค่ะหลังจากนี้ เพราะรู้สึกว่าพูด อธิบายอะไรไปพ่อเเม่ก็ไม่ค่อยสนความเห็นเราอยู่ดี เเละจะไม่คาดหวังให้พ่อเเม่มาเข้าใจอีกค่ะ
4. บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดเลยล่ะค่ะ เเม่เราก็ไม่ได้อะไรกับเราอีก(ต่างคนต่างเงียบใส่เลยค่ะ) พ่อก็บ่นๆบ้างค่ะ เช่นตอนเเรกๆที่เราไม่พูด พ่อก็เชิงบ่น เชิงขึ้นเสียงใส่เราบ้าง ว่าเป็นครอบครัวทำไมไม่พูด เห็นครอบครัวเป็นศัตรูเเล้วใช่มั้ย เเล้วพอเราบอกว่า เเฟนจะไม่มาบ้านอีก(เราบอกเเฟนเอง) พ่อเราก็บอกว่า ทำไมละ ก็มาได้นั่นนี่ เเต่ล่าสุดที่เเฟนเรามา พ่อเราก็มาจับผิดว่าทำอะไร ไม่ได้ไปนอนเล่นกันบนเตียงใช่มั้ย เเบบนั้นหยามหน้าพ่อเเล้ว(พ่อเเม่เราไปทำงาน ตอนนั้นมีเรา เเฟน เเละน้องสาวอยู่บ้าน) เราก็บอกว่ามานั่งเล่น พอพ่อเราบอกเเบบนี้เราเลยบอกเเฟนว่าอย่ามาก เเบบเดิมดีเเล้ว
ปล. ปีที่เเล้วเราติดมหาลัยเเล้วค่ะ รอบพอร์ท 1 โควต้า 1 เเอด 1 เเต่เราดันเรื่องมาก ไม่เอา555 เพราะไม่ใช่คณะที่มุ่งจริงๆ ปีนี้เลยกำลังพยายามอ่านหนังสือสอบใหม่ในปีนี้ค่ะ
ปล.2 เราไม่ใช่คนชอบเที่ยวขนาดนั้นค่ะ เราอยู่บ้านอ่านหนังสือส่วนนึง ไม่ก็ดูหนังอะไรไป กับเเฟนเจอกันสัปดหาละ 1ครั้งค่ะ มากสุด 2 ครั้ง เเต่บางสัปดาห์ก็ไม่เจอค่ะ เพราะเราจะอ่านหนังสือ เเฟนคนนี้เป็นคนเเรกที่มี พสพ.ด้วยค่ะ เเล้วก็เป็นครนเเรกที่มาให้บ้านเราเห็นบ่อยๆ
>> สิ่งที่เราอยากปรึกษาทุกคนคือ
1. เราควรจัดการอารมณ์ยังไงดีคะ เเบบ ตอนนี้ราพยายามโฟกัสกับการอ่านมากๆ เพราะเราอยากติดมหาลัยเเล้วค่ะ เเต่บางทีคนในบ้านก็ทำให้เรารู้สึกดาวน์หน่อยๆค่ะ เเบบไม่รู้สิคะ บางทีก็นอยๆทั้งๆที่เราก็พยายามอ่านหนังสือ พ่อเเม่เราก็เห็น เเเต่เค้าดันไปโฟกัสเรื่อง พสพ.ที่ผ่านมาเเล้วของเราสะงั้น
2. มันผิดมั้ยคะ ที่เราไม่ได้อินกับเรื่องคุณค่ากับการมี พสพ. คือ**มุมเรา** มองว่าตัวเรา คนเรา มีสิ่งอื่นที่มองได้ว่าเป็นคุณค่าตั้งเยอะ เช่น การเรียนเก่ง หาเงินเก่ง ใช้ชีวิตมีความสุข เป็นคนที่ดีของสังคมงี้อ่าค่ะ;^; คือถ้าเราไม่ทำตัวเอง/คนรอบตัวเดือดร้อน ไม่ได้นอกใจเเฟน มันก็ไม่ได้ลดคุณค่าเราลง เเต่ส่วนที่หนูไม่มี พสพ.กับเเฟนอีก นั่นก็เพราะเห็นถึงความเสี่ยงที่มันเกิดขึ่นได้ ซึ่งตอนนี้หนูยังไม่พร้อมรับเลยหยุดไปก่อน เรื่องคุณค่าหนูว่าก็ยังเท่าเดิมค่ะ เเบบว่าหนูก็ยัง ช่วยงานบ้าน ดูเเลน้องสาว เรียน มีเป้าหมายได้เหมือนเดิมอ่าค่ะ หรือจริงๆเเล้วเรื่องนี้ไม่มีผิดถูกคะ เเต่ขึ้นกับมุมมองของคนเเต่ละคน
3. เราทำถูกมั้ยคะ ที่เราบอกเเฟนว่าอย่ามาเจอที่บ้านเราอีกจะดีกว่า(ในตอนนี้) เพราะ มุมเรามองว่า ตอนนี้ไม่อยากให้เเฟนรู้สึกกดดันเกิน เเละไม่อยากให้ความรู้สึกทั้ง 2 ฝ่ายเเย่ไปกว่านี้ค่ะ เราอยากจะดูเขาต่อไปอีกว่าจะพัฒนาไปทางไหนค่ะ เเล้วไว้ถ้าเค้า+เราโตกว่านี้ค่อยมาคุยกับพ่อเเม่เราค่ะ
ปล. เผื่อบางคนถามนะคะ ว่าถ้าเเฟนทิ้งเรา หรือต้องเลิกกันจะทำไง.. ส่วนตัวเราคิดว่าคงเสียใจในช่วงเเรกค่ะ เเต่เราจะพยายามกลับมาโฟกัสกับหน้าที่+เป้าหมายของเราต่อให้เร็วที่สุดค่ะ
เราเขียนยาวมากก จนอยากกจะให้รางวัลกับคนที่อ่านจนจบเลยค่ะ555
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำปรึกษานะคะ ขอบคุณที่อ่านจบด้วยค่ะ