กาแฟ ช็อกโกแลต และไวน์ ถือเป็น “พืชผลฟุ่มเฟือย” (luxury crops) ที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีพ แต่เป็นพืชผลที่คนหลายล้านคนทั่วโลกต้องการในแต่ละวัน ซึ่งตอนนี้พืชที่ผลิตสินค้าเหล่านี้กำลังประสบปัญหาผลผลิตขาดแคลนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ฟาร์มปลูกโกโก้เล็ก ๆ ในกานาไปจนถึงไร่องุ่นในฝรั่งเศส อุณหภูมิที่สูงขึ้นและรูปแบบการตกของฝนที่เปลี่ยนแปลงไป คุกคามทั้งผลผลิตและการดำรงชีวิต
“
พืชผลฟุ่มเฟือย” (
luxury crops) เป็นพืชที่ปลูกเพื่อสร้างมูลค่าตลาดสูงเป็นหลัก ไม่ได้ปลูกเพื่อรองรับความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์
ตัวอย่างเช่น กาแฟ โกโก้ ชา วานิลลา หญ้าฝรั่น และเห็ดทรัฟเฟิล นั่นหมายความว่า เกษตรกรปลูกพืชเหล่านี้เพราะผู้คนทั่วโลกยินดีจ่ายในราคาแพง
เพื่อให้ได้รสชาติ กลิ่น หรือความหายากที่เป็นเอกลักษณ์
พืชเหล่านี้มีข้อจำกัดในการเจริญเติบโต มักต้องการสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง เช่น ระดับความสูง อุณหภูมิ หรือชนิดของดิน ด้วยความหายากนี้เอง ทำให้พืชเหล่านี้กลายเป็น “สินค้าฟุ่มเฟือย” ในตอนแรก
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้สภาพแวดล้อมของพื้นที่เพาะปลูกพืชผลฟุ่มเฟือยเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น พืชอย่างกาแฟ โกโก้ และชา ต้องอาศัยช่วงอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และคุณภาพดินที่เฉพาะเจาะจง เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น สภาพเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงหรือหายไปโดยสิ้นเชิง
เพื่อแก้ปัญหานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาวิศวกรรมธรณี (geoengineering) เพื่อหาทางทำให้โลกเย็นลง
หนึ่งในนั้นคือการฉีดละอองลอยซัลเฟตซัลเฟตในชั้นสตราโตสเฟียร์ (SAI) อาจช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์บางส่วนออกจากโลก
และช่วยให้โลกที่กำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดสเตท (CSU) ได้จำลองสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสภาพภูมิอากาศในพื้นที่เพาะปลูกองุ่น กาแฟ และโกโก้ชั้นนำของยุโรปตะวันตก อเมริกาใต้ และแอฟริกาตะวันตก หากใช้ SAI เพื่อสร้างปรากฏการณ์เย็นลง
นักวิทยาศาสตร์พบว่า แม้ว่ากระบวนการนี้จะสามารถลดอุณหภูมิลงได้ แต่ก็ไม่สามารถรักษาสภาพแวดล้อมที่จำเป็นสำหรับการเพาะปลูกพืชเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างสม่ำเสมอ โดยพบว่าปริมาณน้ำฝนและความชื้นที่คาดเดาไม่ได้
ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วม หรือศัตรูพืชและโรคที่ทำลายต้นโกโก้
จากการประเมินความเหมาะสมของพืชโดยพิจารณาจากอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ความชื้น และความเสี่ยงต่อโรคใน 18 ภูมิภาค
ระหว่างปี ระหว่างปี 2036-2045 พบว่ามีเพียง 6 ภูมิภาคเท่านั้น ที่พืชมีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่มี SAI
ขณะที่ส่วนที่เหลือแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือผลลัพธ์ที่แตกต่าง
// ดร.อาเรียล มอร์ริสัน จากมหาวิทยาลัยโคโลราโดสเตท ผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าวว่า
“การแทรกแซงสภาพภูมิอากาศด้วย SAI อาจช่วยบรรเทาอุณหภูมิที่สูงขึ้นในบางภูมิภาคได้ชั่วคราว
แต่ไม่ได้รับประกันว่าจะแก้ไขปัญหาความท้าทายที่เกษตรกรผู้ปลูกพืชผลฟุ่มเฟือยต้องเผชิญ” //
เธอเตือนว่าการลดอุณหภูมิด้วย SAI เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เพราะถึงแม้ อุณหภูมิที่ลดลงจะช่วยลดความเครียดจากความร้อนในไร่องุ่นบางแห่ง
แต่ไร่องุ่นก็ต้องการช่วงพักตัวในช่วงฤดูหนาวที่ชัดเจนเช่นกัน
ดังนั้นความอบอุ่นที่มากเกินไปอาจทำให้ตาแตกเร็วขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำค้างแข็ง
ขณะที่ ปริมาณน้ำฝนและความชื้นมักลดทอนประโยชน์ของอากาศเย็นลง ในเขตปลูกโกโก้
สัปดาห์ที่ฝนตกชุกสามารถกระตุ้นให้เกิดการระบาดของเชื้อราที่ทำให้ฝักเน่าได้
การวิเคราะห์พยาธิวิทยาของโกโก้เชื่อมโยงโรคฝักดำกับปัจจัยด้านสภาพอากาศ รวมถึงปริมาณน้ำฝนและความชื้น
ผลการวิจัยสอดคล้องกับแบบจำลองที่บ่งชี้ว่า ความเสี่ยงจากโรคพืชอาจทำให้ฤดูกาลเพาะปลูกพืชกลายเป็นฝันร้ายสำหรับเกษตรกร
ส่วนกาแฟมีปฏิกิริยาที่หลากหลาย เนื่องจากคืนที่อากาศเย็นเพียงคืนเดียวอาจทำให้ผลแคระแกร็น
ขณะที่ช่วงแล้งที่ยาวนานส่งผลให้ออกดอกและติดผลได้น้อย
ขณะเดียวกัน SAI ยังทำให้ปริมาณน้ำเปลี่ยนแปลงไป พื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออกของบราซิลมีน้ำเพิ่มขึ้น
แต่บางที่กลับมีน้ำลดลง ซึ่งความผันผวนนี้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนและการลงทุนเพาะปลูก
ดร.มอร์ริสันกล่าวว่ากลยุทธ์ในการปรับพื้นที่ในท้องถิ่นให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ การลงทุนในแนวทางปฏิบัติทางการเกษตรที่ยืดหยุ่น และความร่วมมือระดับโลกถือเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาพืชผลและชุมชนที่ต้องพึ่งพาพืชผลเหล่านั้น
ทางเลือกในการปรับตัวแตกต่างกันไปตามพืชผลและพื้นที่ เกษตรกรสามารถเปลี่ยนพันธุ์พืช ปรับเปลี่ยนการจัดการเรือนยอด ปรับปรุงการระบายน้ำ
ปรับเวลาเก็บเกี่ยว หรือลงทุนในร่มเงาและการป้องกันลม
ความเสี่ยงบางอย่างจัดการได้ง่ายกว่าความเสี่ยงอื่น ๆ การชลประทานสามารถบรรเทาภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ที่มีน้ำ
และการกักเก็บน้ำในฟาร์มก็ช่วยได้ ในขณะที่มีเพียงไม่กี่วิธีที่สามารถป้องกันฝนที่ตกหนักติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคได้
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่สภาพอากาศเท่านั้น
แต่ยังเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์และการอยู่รอดของพืชผลฟุ่มเฟือยทั่วโลกอีกด้วย
ที่มา: Earth, Independent, Science Daily, Technology Networks
แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
กาแฟ-ช็อกโกแลต-ไวน์ ยังขาดแคลน ต่อให้โลกเย็นลง เจอปัญหาโรคพืช ภัยพิบัติต่อเนื่อง
กาแฟ ช็อกโกแลต และไวน์ ถือเป็น “พืชผลฟุ่มเฟือย” (luxury crops) ที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีพ แต่เป็นพืชผลที่คนหลายล้านคนทั่วโลกต้องการในแต่ละวัน ซึ่งตอนนี้พืชที่ผลิตสินค้าเหล่านี้กำลังประสบปัญหาผลผลิตขาดแคลนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ฟาร์มปลูกโกโก้เล็ก ๆ ในกานาไปจนถึงไร่องุ่นในฝรั่งเศส อุณหภูมิที่สูงขึ้นและรูปแบบการตกของฝนที่เปลี่ยนแปลงไป คุกคามทั้งผลผลิตและการดำรงชีวิต
“พืชผลฟุ่มเฟือย” (luxury crops) เป็นพืชที่ปลูกเพื่อสร้างมูลค่าตลาดสูงเป็นหลัก ไม่ได้ปลูกเพื่อรองรับความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์
ตัวอย่างเช่น กาแฟ โกโก้ ชา วานิลลา หญ้าฝรั่น และเห็ดทรัฟเฟิล นั่นหมายความว่า เกษตรกรปลูกพืชเหล่านี้เพราะผู้คนทั่วโลกยินดีจ่ายในราคาแพง
เพื่อให้ได้รสชาติ กลิ่น หรือความหายากที่เป็นเอกลักษณ์
พืชเหล่านี้มีข้อจำกัดในการเจริญเติบโต มักต้องการสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง เช่น ระดับความสูง อุณหภูมิ หรือชนิดของดิน ด้วยความหายากนี้เอง ทำให้พืชเหล่านี้กลายเป็น “สินค้าฟุ่มเฟือย” ในตอนแรก