คุณเคยได้ยินคำกล่าวอ้างนี้ไหมคะ? "ที่เราร่วงโรย แก่ก่อนวัย และเป็นสารพัดโรค ทั้งเบาหวาน ความดัน หัวใจ ก็เพราะร่างกายเรามีภาวะเป็นกรดสะสม" "กินเนื้อสัตว์ ชีส ของทอด แล้วเลือดจะกลายเป็นกรด"
ฟังดูน่ากลัว และก็ดูเหมือนจะ "ง่าย" ที่จะโทษทุกอย่างไปที่ "กรด"
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยทางการแพทย์ สิ่งแรกที่ต้องบอกคือ ร่างกายของคุณฉลาดกว่านั้นเยอะค่ะ
ร่างกายมนุษย์มีระบบมหัศจรรย์ในการรักษาสมดุลค่า pH ของเลือดให้คงที่อย่างเหนียวแน่นที่สุดในช่วงแคบๆ คือประมาณ 7.35 - 7.45 ถ้าค่านี้แกว่งไปเพียงเล็กน้อย นั่นหมายถึงภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องเข้า ICU ค่ะ ไม่ใช่ภาวะเรื้อรังจากการกินเบอร์เกอร์
แล้วความเชื่อนี้มาจากไหน?
มันมาจากทฤษฎี "Acid-Ash" หรือ "เถ้ากรด" ค่ะ แนวคิดคือเมื่ออาหารถูกเผาผลาญ มันจะทิ้ง "เถ้า" ที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่าง เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์จะให้ "เถ้ากรด" (เช่น กรดซัลฟิวริก) ส่วนผักผลไม้จะให้ "เถ้าด่าง"
มันก็จริง... แต่...
ร่างกายเรามี "กันชน" (Buffer) ขนาดยักษ์คอยจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว ทั้งจากระบบเลือดเอง, การหายใจ (ปอดขับ CO2 ที่เป็นกรด) และที่สำคัญที่สุดคือ "ไต" (Kidneys)
ไตของเราคือนักจัดการกรด-ด่างมืออาชีพ เมื่อคุณกินสเต็ก (เถ้ากรด) ไตก็จะแค่ขับกรดส่วนเกินนั้นทิ้งไปทาง... ปัสสาวะ ค่ะ ใช่แล้วค่ะ สิ่งที่เปลี่ยนคือ "ค่า pH ของปัสสาวะ" ไม่ใช่ "ค่า pH ของเลือด"
ดังนั้น ความคิดที่ว่า "เลือดเป็นกรดเรื้อรังระดับต่ำ" จากอาหาร จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งค่ะ
🔥 แล้วอะไรคือ "ผู้ร้ายตัวจริง"?
ถ้าไม่ใช่ "กรด" แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เนื้อแดง ของทอด ของหวาน ความเครียด และการอดนอน ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน หัวใจ และความแก่?
คำตอบคือ "ไฟอักเสบ" ค่ะ
ไม่ใช่การอักเสบแบบแผลบวมแดง แต่เป็น "การอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ" (Chronic Low-Grade Inflammation) มันคือเพลิงไหม้ที่คุกรุ่นอย่างช้าๆ เงียบๆ อยู่ภายในเซลล์ทั่วร่างกายของคุณ และนี่คือกลไกที่แท้จริง
1. กลไกจาก "อาหาร" (เนื้อแดง, ของทอด, ของหวาน)
เมื่อเรากินอาหารเหล่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในระดับโมเลกุลคือ:
ของหวาน/แป้งขัดขาว: น้ำตาลที่พุ่งสูงในเลือดจะกระตุ้น "อินซูลิน" อย่างรุนแรง ภาวะน้ำตาลและอินซูลินที่สูงปรี๊ดนี้เองที่ "จุดชนวน" การอักเสบโดยตรง และนำไปสู่ "ภาวะดื้ออินซูลิน" (Insulin Resistance) ซึ่งเป็นประตูบานแรกสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2
ของทอด/ไขมันทรานส์: ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย มันสามารถกระตุ้นตัวรับสัญญาณบนเซลล์ภูมิคุ้มกัน (เช่น Toll-like Receptors) เหมือนกับที่ร่างกายเจอ "เชื้อโรค" เลยค่ะ ผลคือเซลล์เหล่านี้จะปล่อยสารสื่ออักเสบ (Pro-inflammatory Cytokines) ออกมา

ของทอด/เนื้อย่างไหม้ (AGEs): นี่คือตัวร้ายสำคัญค่ะ Advanced Glycation End products (AGEs) คือสารที่เกิดจากโปรตีนหรือไขมันทำปฏิกิริยากับน้ำตาลโดยใช้ความร้อนสูง (เช่น การทอด ปิ้ง ย่าง) เมื่อเรากิน AGEs เข้าไป หรือเมื่อน้ำตาลในเลือดเราสูงจนไป "เผา" โปรตีนในร่างกายเราเอง (เช่น คอลลาเจน) สาร AGEs นี้จะไปจับกับตัวรับ (RAGE) บนเซลล์ ซึ่งการจับกันนี้... คือ "การสาดน้ำมันเข้ากองไฟ" มันกระตุ้นทั้งการอักเสบและ "ภาวะเครียดออกซิเดชัน" อย่างรุนแรง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว (ความดัน) ผิวหนังเหี่ยวย่น (ความแก่)
2. กลไกจาก "ไลฟ์สไตล์" (เครียด, นอนน้อย)
ความเครียดเรื้อรัง: ร่างกายจะหลั่ง "คอร์ติซอล" (Cortisol) ฮอร์โมนความเครียด ในระยะสั้นมันช่วยได้ แต่เมื่อเรื้อรัง คอร์ติซอลจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันรวน มันจะ "กด" ภูมิคุ้มกันที่จำเป็น แต่กลับ "ส่งเสริม" การอักเสบเรื้อรัง และยังทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นด้วย
การนอนน้อย: การนอนคือเวลา "ซ่อมแซม" ร่างกาย เมื่อเรานอนไม่พอ ระบบเก็บกวาดของเสียในสมองจะทำงานได้ไม่ดี และร่างกายจะเสียสมดุลในการหลั่งสารเคมีต่างๆ รวมถึงสารที่ควบคุมการอักเสบ ทำให้ร่างกายเข้าสู่ "โหมดอักเสบ" ตลอดเวลา
📉 วงจรอุบาทว์: อะไรเป็นเหตุ... อะไรเป็นผล?
ทีนี้เรามาเรียงลำดับเหตุการณ์กันค่ะ:
>>เหตุ (Cause): กินอาหารที่มีน้ำตาลสูง, ไขมันแปรรูป, AGEs (ของทอด/ย่าง) + เครียด + นอนน้อย
กลไก (Process): สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ ทำให้เลือดเป็นกรด แต่ไปกระตุ้น 3 กลไกหลัก:
▪️การอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ (Inflammation)
▪️ภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress): เกิดอนุมูลอิสระ (สนิมของเซลล์) ที่ทำลาย DNA และเยื่อหุ้มเซลล์
▪️ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance)
>>ผล (Effect):
▪️การอักเสบและ Oxidative Stress ที่เรื้อรังในหลอดเลือด -> โรคหัวใจ, ความดันสูง
▪️การอักเสบและภาวะดื้ออินซูลินที่ตับอ่อนและเซลล์กล้ามเนื้อ -> โรคเบาหวาน
▪️การอักเสบและ Oxidative Stress ที่ทำลาย DNA และโปรตีน (เช่น คอลลาเจน) -> ความเสื่อมของเซลล์ (ความแก่)
▪️การอักเสบเรื้อรังในไต (ที่ต้องทำงานหนักจากภาวะอื่นๆ) -> โรคไต
สรุปคือ: "อาหาร" และ "ไลฟ์สไตล์" ที่ไม่ดี คือ "ตัวจุดไฟ" ไม่ใช่ตัวสร้างกรด ส่วน "โรค" ต่างๆ คือผลลัพธ์ของ "เพลิงไหม้เรื้อรัง" (การอักเสบ) ที่เราจุดขึ้นมาเอง ไม่ใช่ผลจาก "กรด" ที่สะสมค่ะ
🧘♀️ ทำอย่างไรถึงจะ "ดับไฟ" นี้อย่างถูกต้อง?
เมื่อเรารู้ "ผู้ร้ายตัวจริง" แล้ว วิธีแก้ก็ต้องตรงจุดค่ะ ลืมเรื่อง "น้ำด่าง" หรือ "การล้างพิษด้วยกรด" ไปก่อน แล้วมาโฟกัสที่การ "ต้านอักเสบ" (Anti-Inflammation) ค่ะ
"เลือก" อาหาร ไม่ใช่ "กลัว" อาหาร:
▪️ลด "เชื้อเพลิง" ของการอักเสบ: น้ำตาลทราย, แป้งขัดขาว, น้ำหวาน, ไขมันทรานส์ (เบเกอรี่, ครีมเทียม), อาหารแปรรูปขั้นสูง และลดการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงจน "เกรียม" (ลด AGEs)
▪️เพิ่ม "นักดับเพลิง": ทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระสูง (ก็คืออาหารในกลุ่ม "เถ้าด่าง" ที่คนเขาเชื่อกันนั่นแหละค่ะ แต่เหตุผลมันไม่ใช่เรื่องด่าง!)
🥬ใบเขียวและผักหลากสี: อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์
🍓ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: ราชาแห่งการต้านอักเสบ
🐠ไขมันดี: โอเมก้า-3 จากปลาทะเล (แซลมอน, ซาร์ดีน), น้ำมันมะกอก, อะโวคาโด, ถั่วต่างๆ
🫚เครื่องเทศ: ขมิ้นชัน, ขิง, กระเทียม
▪️จัดการ "ต้นตอ" ของไฟ:
😴นอนหลับให้มีคุณภาพ: 7-8 ชั่วโมง คือเวลาราชการที่ร่างกายต้องใช้ "ซ่อมแซม" และ "เคลียร์" สารอักเสบ
☺️จัดการความเครียด: ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย (ซึ่งช่วยลดการอักเสบในระยะยาว), การทำสมาธิ, หางานอดิเรก การลดคอร์ติซอล ก็คือการลดเชื้อเพลิงให้กองไฟ
🏃♂️ขยับร่างกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นหนึ่งในยา "ต้านอักเสบ" ที่ดีที่สุดที่โลกนี้มีให้
ความจริงก็คือ ร่างกายเราไม่ได้พังเพราะ "กรด" แต่กำลัง "ลุกเป็นไฟ" เพราะการอักเสบค่ะ การเข้าใจกลไกที่แท้จริงนี้ คือก้าวแรกที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นและชะลอความเสื่อมได้อย่างถูกวิธีค่ะ
CR
https://www.facebook.com/share/17bX87G4w8/?mibextid=wwXIfr
“กินเนื้อสัตว์ ชีส ของทอด แล้วเลือดจะกลายเป็นกรด”… จริงไหม ?
ฟังดูน่ากลัว และก็ดูเหมือนจะ "ง่าย" ที่จะโทษทุกอย่างไปที่ "กรด"
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยทางการแพทย์ สิ่งแรกที่ต้องบอกคือ ร่างกายของคุณฉลาดกว่านั้นเยอะค่ะ
ร่างกายมนุษย์มีระบบมหัศจรรย์ในการรักษาสมดุลค่า pH ของเลือดให้คงที่อย่างเหนียวแน่นที่สุดในช่วงแคบๆ คือประมาณ 7.35 - 7.45 ถ้าค่านี้แกว่งไปเพียงเล็กน้อย นั่นหมายถึงภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องเข้า ICU ค่ะ ไม่ใช่ภาวะเรื้อรังจากการกินเบอร์เกอร์
แล้วความเชื่อนี้มาจากไหน?
มันมาจากทฤษฎี "Acid-Ash" หรือ "เถ้ากรด" ค่ะ แนวคิดคือเมื่ออาหารถูกเผาผลาญ มันจะทิ้ง "เถ้า" ที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่าง เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์จะให้ "เถ้ากรด" (เช่น กรดซัลฟิวริก) ส่วนผักผลไม้จะให้ "เถ้าด่าง"
มันก็จริง... แต่...
ร่างกายเรามี "กันชน" (Buffer) ขนาดยักษ์คอยจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว ทั้งจากระบบเลือดเอง, การหายใจ (ปอดขับ CO2 ที่เป็นกรด) และที่สำคัญที่สุดคือ "ไต" (Kidneys)
ไตของเราคือนักจัดการกรด-ด่างมืออาชีพ เมื่อคุณกินสเต็ก (เถ้ากรด) ไตก็จะแค่ขับกรดส่วนเกินนั้นทิ้งไปทาง... ปัสสาวะ ค่ะ ใช่แล้วค่ะ สิ่งที่เปลี่ยนคือ "ค่า pH ของปัสสาวะ" ไม่ใช่ "ค่า pH ของเลือด"
ดังนั้น ความคิดที่ว่า "เลือดเป็นกรดเรื้อรังระดับต่ำ" จากอาหาร จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งค่ะ
🔥 แล้วอะไรคือ "ผู้ร้ายตัวจริง"?
ถ้าไม่ใช่ "กรด" แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เนื้อแดง ของทอด ของหวาน ความเครียด และการอดนอน ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน หัวใจ และความแก่?
คำตอบคือ "ไฟอักเสบ" ค่ะ
ไม่ใช่การอักเสบแบบแผลบวมแดง แต่เป็น "การอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ" (Chronic Low-Grade Inflammation) มันคือเพลิงไหม้ที่คุกรุ่นอย่างช้าๆ เงียบๆ อยู่ภายในเซลล์ทั่วร่างกายของคุณ และนี่คือกลไกที่แท้จริง
1. กลไกจาก "อาหาร" (เนื้อแดง, ของทอด, ของหวาน)
เมื่อเรากินอาหารเหล่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในระดับโมเลกุลคือ:
ของหวาน/แป้งขัดขาว: น้ำตาลที่พุ่งสูงในเลือดจะกระตุ้น "อินซูลิน" อย่างรุนแรง ภาวะน้ำตาลและอินซูลินที่สูงปรี๊ดนี้เองที่ "จุดชนวน" การอักเสบโดยตรง และนำไปสู่ "ภาวะดื้ออินซูลิน" (Insulin Resistance) ซึ่งเป็นประตูบานแรกสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2
ของทอด/ไขมันทรานส์: ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย มันสามารถกระตุ้นตัวรับสัญญาณบนเซลล์ภูมิคุ้มกัน (เช่น Toll-like Receptors) เหมือนกับที่ร่างกายเจอ "เชื้อโรค" เลยค่ะ ผลคือเซลล์เหล่านี้จะปล่อยสารสื่ออักเสบ (Pro-inflammatory Cytokines) ออกมา

ของทอด/เนื้อย่างไหม้ (AGEs): นี่คือตัวร้ายสำคัญค่ะ Advanced Glycation End products (AGEs) คือสารที่เกิดจากโปรตีนหรือไขมันทำปฏิกิริยากับน้ำตาลโดยใช้ความร้อนสูง (เช่น การทอด ปิ้ง ย่าง) เมื่อเรากิน AGEs เข้าไป หรือเมื่อน้ำตาลในเลือดเราสูงจนไป "เผา" โปรตีนในร่างกายเราเอง (เช่น คอลลาเจน) สาร AGEs นี้จะไปจับกับตัวรับ (RAGE) บนเซลล์ ซึ่งการจับกันนี้... คือ "การสาดน้ำมันเข้ากองไฟ" มันกระตุ้นทั้งการอักเสบและ "ภาวะเครียดออกซิเดชัน" อย่างรุนแรง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว (ความดัน) ผิวหนังเหี่ยวย่น (ความแก่)
2. กลไกจาก "ไลฟ์สไตล์" (เครียด, นอนน้อย)
ความเครียดเรื้อรัง: ร่างกายจะหลั่ง "คอร์ติซอล" (Cortisol) ฮอร์โมนความเครียด ในระยะสั้นมันช่วยได้ แต่เมื่อเรื้อรัง คอร์ติซอลจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันรวน มันจะ "กด" ภูมิคุ้มกันที่จำเป็น แต่กลับ "ส่งเสริม" การอักเสบเรื้อรัง และยังทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นด้วย
การนอนน้อย: การนอนคือเวลา "ซ่อมแซม" ร่างกาย เมื่อเรานอนไม่พอ ระบบเก็บกวาดของเสียในสมองจะทำงานได้ไม่ดี และร่างกายจะเสียสมดุลในการหลั่งสารเคมีต่างๆ รวมถึงสารที่ควบคุมการอักเสบ ทำให้ร่างกายเข้าสู่ "โหมดอักเสบ" ตลอดเวลา
📉 วงจรอุบาทว์: อะไรเป็นเหตุ... อะไรเป็นผล?
ทีนี้เรามาเรียงลำดับเหตุการณ์กันค่ะ:
>>เหตุ (Cause): กินอาหารที่มีน้ำตาลสูง, ไขมันแปรรูป, AGEs (ของทอด/ย่าง) + เครียด + นอนน้อย
กลไก (Process): สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ ทำให้เลือดเป็นกรด แต่ไปกระตุ้น 3 กลไกหลัก:
▪️การอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ (Inflammation)
▪️ภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress): เกิดอนุมูลอิสระ (สนิมของเซลล์) ที่ทำลาย DNA และเยื่อหุ้มเซลล์
▪️ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance)
>>ผล (Effect):
▪️การอักเสบและ Oxidative Stress ที่เรื้อรังในหลอดเลือด -> โรคหัวใจ, ความดันสูง
▪️การอักเสบและภาวะดื้ออินซูลินที่ตับอ่อนและเซลล์กล้ามเนื้อ -> โรคเบาหวาน
▪️การอักเสบและ Oxidative Stress ที่ทำลาย DNA และโปรตีน (เช่น คอลลาเจน) -> ความเสื่อมของเซลล์ (ความแก่)
▪️การอักเสบเรื้อรังในไต (ที่ต้องทำงานหนักจากภาวะอื่นๆ) -> โรคไต
สรุปคือ: "อาหาร" และ "ไลฟ์สไตล์" ที่ไม่ดี คือ "ตัวจุดไฟ" ไม่ใช่ตัวสร้างกรด ส่วน "โรค" ต่างๆ คือผลลัพธ์ของ "เพลิงไหม้เรื้อรัง" (การอักเสบ) ที่เราจุดขึ้นมาเอง ไม่ใช่ผลจาก "กรด" ที่สะสมค่ะ
🧘♀️ ทำอย่างไรถึงจะ "ดับไฟ" นี้อย่างถูกต้อง?
เมื่อเรารู้ "ผู้ร้ายตัวจริง" แล้ว วิธีแก้ก็ต้องตรงจุดค่ะ ลืมเรื่อง "น้ำด่าง" หรือ "การล้างพิษด้วยกรด" ไปก่อน แล้วมาโฟกัสที่การ "ต้านอักเสบ" (Anti-Inflammation) ค่ะ
"เลือก" อาหาร ไม่ใช่ "กลัว" อาหาร:
▪️ลด "เชื้อเพลิง" ของการอักเสบ: น้ำตาลทราย, แป้งขัดขาว, น้ำหวาน, ไขมันทรานส์ (เบเกอรี่, ครีมเทียม), อาหารแปรรูปขั้นสูง และลดการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงจน "เกรียม" (ลด AGEs)
▪️เพิ่ม "นักดับเพลิง": ทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระสูง (ก็คืออาหารในกลุ่ม "เถ้าด่าง" ที่คนเขาเชื่อกันนั่นแหละค่ะ แต่เหตุผลมันไม่ใช่เรื่องด่าง!)
🥬ใบเขียวและผักหลากสี: อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์
🍓ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: ราชาแห่งการต้านอักเสบ
🐠ไขมันดี: โอเมก้า-3 จากปลาทะเล (แซลมอน, ซาร์ดีน), น้ำมันมะกอก, อะโวคาโด, ถั่วต่างๆ
🫚เครื่องเทศ: ขมิ้นชัน, ขิง, กระเทียม
▪️จัดการ "ต้นตอ" ของไฟ:
😴นอนหลับให้มีคุณภาพ: 7-8 ชั่วโมง คือเวลาราชการที่ร่างกายต้องใช้ "ซ่อมแซม" และ "เคลียร์" สารอักเสบ
☺️จัดการความเครียด: ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย (ซึ่งช่วยลดการอักเสบในระยะยาว), การทำสมาธิ, หางานอดิเรก การลดคอร์ติซอล ก็คือการลดเชื้อเพลิงให้กองไฟ
🏃♂️ขยับร่างกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นหนึ่งในยา "ต้านอักเสบ" ที่ดีที่สุดที่โลกนี้มีให้
ความจริงก็คือ ร่างกายเราไม่ได้พังเพราะ "กรด" แต่กำลัง "ลุกเป็นไฟ" เพราะการอักเสบค่ะ การเข้าใจกลไกที่แท้จริงนี้ คือก้าวแรกที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นและชะลอความเสื่อมได้อย่างถูกวิธีค่ะ
CR https://www.facebook.com/share/17bX87G4w8/?mibextid=wwXIfr