ทำไมเราถึงควรจำ
parts of speech (ชนิด/หน้าที่ของคำศัพท์) ให้ได้?
ถ้าตอบแบบง่าย ๆ เลยก็คือ… "
การที่เราจะพูด/เขียนภาษาอังกฤษออกมาได้ดี จำเป็นต้องรู้ว่าคำศัพท์คำนั้นมันเป็น “ชนิด” หรือมี “หน้าที่” อะไรในประโยค"
Parts of speech ในภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 8 ชนิดได้แก่...
1.
คำนาม (nouns เช่น John)
2.
กริยา (verbs เช่น eat, work, think)
3.
คำคุณศัพท์ (adjectives เช่น happy, busy, alone)
4.
กริยาวิเศษณ์ (adverbs เช่น always, slowly)
5.
สรรพนาม (pronouns เช่น

, she, it)
6.
คำบุพบท (prepositions เช่น in, on, at)
7.
คำสันธาน (conjunctions เช่น and, but, when)
8.
คำอุทาน (interjections เช่น “Wow!” “Oh no!” “Hey!”)
. . . . .
จริงอยู่ประโยคมันประกอบขึ้นมาด้วย
ประธาน + กริยา + กรรม และอาจจะมี “
ส่วนขยาย” (complement) เพิ่มมาบ้าง แต่บางทีมันก็คลุมเครือว่าคำไหนควรจะทำหน้าที่เป็นประธาน? คำไหนควรเป็นกริยา? คำไหนควรเป็นส่วนขยาย?
ยกตัวอย่างคำว่า "
free" เรารู้จักคำนี้ดี (และชอบเลย) ในความหมาย “
ไม่ต้องเสียเงิน”
เช่นประโยค “
They’re giving out free cinema tickets on the 5th floor.” (พวกเขากำลังแจกตั๋วหนังฟรีอยู่ชั้นห้า)
ในประโยคนี้ free ทำหน้านี้เป็น adjective หรือคำคุณศัพท์ ขยายคำนาม “tickets” เพื่อบอกว่าตั๋วหนังเหล่านี้มัน no need to be paid for (ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินซื้อ)
แต่วันดีคืนดีเราอ่านนิทานแล้วไปเจอประโยค “
She helped free the trapped rabbit.”
จะไปแปลว่า “เธอช่วยกระต่ายที่ติดกับดักแบบฟรี ๆ” แบบนี้ก็ผิดความหมายเลยครับ
เพราะ free ในประโยคนี้มันทำหน้าที่เป็น verb หรือกริยา มีความหมายว่า “
ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ”
ประโยคนี้จึงต้องแปลใหม่เป็น “
เธอช่วยปลดปล่อยกระต่ายให้หลุดจากกับดัก”
หรือในประโยค “
Am I free to leave?” ก็ไม่ได้แปลว่า “ผมจากไปแบบไม่เสียเงินได้ใช่ไหม?”
แม้ในประโยคนี้มันจะทำหน้าที่เป็น adjective ก็จริง (เรารู้ว่ามันเป็น adjective เพราะมี verb to be (am) อยู่)
แต่มันคนละความหมายกับ free แบบแรกครับ โดย free ในบริบทนี้มันแปลว่า “
ไม่ถูกจำกัด” หรือ “
ไม่ถูกควบคุม”
ประโยค Am I free to leave? จึงแปลว่า “Do I have permission to leave?” หรือ “
ผมได้รับอนุญาตให้ไปได้แล้วใช่ไหม”
เป็นประโยคที่เราอาจได้ยินในหนังเวลาตัวละครหนึ่งถูกตำรวจควบคุมตัว แล้วเขาไม่ได้ผิดอะไร (หรือตำรวจหาความผิดไม่ได้)
. . . . .
“
Free time” ก็ไม่ใช่ เวลาฟรี แต่หมายถึง
เวลาว่าง (available to be used)
“
Free access” ก็ไม่ใช่ การเข้าถึงแบบฟรี ๆ แต่หมายถึง
การเข้าถึงแบบไม่จำกัด (not limited)
“
Feel free” แปลว่า
ทำได้ตามใจชอบ
“Free and easy” แปลว่า
สบาย ๆ ไม่ต้องทางการมาก
“
Walk free” แปลว่า
พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่าง
. . . . .
นี่ยังไม่ได้ข้ามไป parts of speech อื่นเลย
แค่ free ในเวอร์ชัน adjective ด้วยกันเอง ก็ยังมีหลายความหมายมาก ๆ ครับ ถ้าข้ามไปเวอร์ชันกริยา ก็มีหลายความหมายไม่แพ้กัน นอกจากความหมาย “ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ” ที่กล่าวไปก่อนหน้า เรายังสามารถบอกว่า…
“
I need to free up some time this weekend.” (สุดสัปดาห์นี้ผมต้องหาเวลาว่างสักหน่อยแล้ว)
(Free (up) = ทำให้ว่าง)
“
He tried to free the wheels from the mud.” (เขาพยายามหมุนล้อให้หลุดจากโคลน)
(Free (something) from (something)) = เคลียร์หรือเอาบางอย่างออกไป)
“
The new policy will free employees from unnecessary paperwork.” (นโยบายใหม่จะช่วยให้พนักงานไม่ต้องทำงานเอกสารที่ไม่จำเป็น)
(Free (someone) from (something) = ลดภาระ)
. . . . .
แล้วยังมี free ในความหมายคำนามด้วย (ไม่ใช่แค่ freedom ที่แปลว่า อิสรภาพ) คือวลี “
a free-for-all” ที่แปลว่า
สถานการณ์รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่าย (เรารู้ว่ามันเป็นคำนามเพราะมันใช้คู่กับ a)
เช่นในประโยค “
One push in the hallway turned into a free-for-all.”
(มีคนผลักกันแค่ครั้งในตรงโถงทางเดินแล้วก็
เกิดเหตุตะลุมบอนเลย)
หรือ “
The argument on the football field turned into a free-for-all.”
(จากเหตุเถียงกันในสนามฟุตบอลก็กลายเป็น
ตีกันชุลมุน)
แค่คำ ๆ เดียวแต่เรารู้ parts of speech ของมัน ก็แต่งประโยคได้หลายแบบมากครับ แล้วประเด็นคือภาษาอังกฤษมีคำแบบนี้เยอะมาก (หนึ่งคำเป็นได้หลาย parts of speech และสื่อได้หลายความหมาย) ทุกครั้งที่เรียนคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้เปิด dictionary เพื่อเช็ก part of speech ของมันเสมอนะ
______________
"
รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
JGC.
ขอย้ำความสำคัญของเรื่อง parts of speech อีกสักกระทู้ครับ (อยากคล่องภาษาอังกฤษต้องแม่นเรื่องนี้ก่อนเลย)
ถ้าตอบแบบง่าย ๆ เลยก็คือ… "การที่เราจะพูด/เขียนภาษาอังกฤษออกมาได้ดี จำเป็นต้องรู้ว่าคำศัพท์คำนั้นมันเป็น “ชนิด” หรือมี “หน้าที่” อะไรในประโยค"
Parts of speech ในภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 8 ชนิดได้แก่...
1. คำนาม (nouns เช่น John)
2. กริยา (verbs เช่น eat, work, think)
3. คำคุณศัพท์ (adjectives เช่น happy, busy, alone)
4. กริยาวิเศษณ์ (adverbs เช่น always, slowly)
5. สรรพนาม (pronouns เช่น
6. คำบุพบท (prepositions เช่น in, on, at)
7. คำสันธาน (conjunctions เช่น and, but, when)
8. คำอุทาน (interjections เช่น “Wow!” “Oh no!” “Hey!”)
. . . . .
จริงอยู่ประโยคมันประกอบขึ้นมาด้วย ประธาน + กริยา + กรรม และอาจจะมี “ส่วนขยาย” (complement) เพิ่มมาบ้าง แต่บางทีมันก็คลุมเครือว่าคำไหนควรจะทำหน้าที่เป็นประธาน? คำไหนควรเป็นกริยา? คำไหนควรเป็นส่วนขยาย?
ยกตัวอย่างคำว่า "free" เรารู้จักคำนี้ดี (และชอบเลย) ในความหมาย “ไม่ต้องเสียเงิน”
เช่นประโยค “They’re giving out free cinema tickets on the 5th floor.” (พวกเขากำลังแจกตั๋วหนังฟรีอยู่ชั้นห้า)
ในประโยคนี้ free ทำหน้านี้เป็น adjective หรือคำคุณศัพท์ ขยายคำนาม “tickets” เพื่อบอกว่าตั๋วหนังเหล่านี้มัน no need to be paid for (ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินซื้อ)
แต่วันดีคืนดีเราอ่านนิทานแล้วไปเจอประโยค “She helped free the trapped rabbit.”
จะไปแปลว่า “เธอช่วยกระต่ายที่ติดกับดักแบบฟรี ๆ” แบบนี้ก็ผิดความหมายเลยครับ
เพราะ free ในประโยคนี้มันทำหน้าที่เป็น verb หรือกริยา มีความหมายว่า “ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ”
ประโยคนี้จึงต้องแปลใหม่เป็น “เธอช่วยปลดปล่อยกระต่ายให้หลุดจากกับดัก”
หรือในประโยค “Am I free to leave?” ก็ไม่ได้แปลว่า “ผมจากไปแบบไม่เสียเงินได้ใช่ไหม?”
แม้ในประโยคนี้มันจะทำหน้าที่เป็น adjective ก็จริง (เรารู้ว่ามันเป็น adjective เพราะมี verb to be (am) อยู่)
แต่มันคนละความหมายกับ free แบบแรกครับ โดย free ในบริบทนี้มันแปลว่า “ไม่ถูกจำกัด” หรือ “ไม่ถูกควบคุม”
ประโยค Am I free to leave? จึงแปลว่า “Do I have permission to leave?” หรือ “ผมได้รับอนุญาตให้ไปได้แล้วใช่ไหม”
เป็นประโยคที่เราอาจได้ยินในหนังเวลาตัวละครหนึ่งถูกตำรวจควบคุมตัว แล้วเขาไม่ได้ผิดอะไร (หรือตำรวจหาความผิดไม่ได้)
. . . . .
“Free time” ก็ไม่ใช่ เวลาฟรี แต่หมายถึง เวลาว่าง (available to be used)
“Free access” ก็ไม่ใช่ การเข้าถึงแบบฟรี ๆ แต่หมายถึง การเข้าถึงแบบไม่จำกัด (not limited)
“Feel free” แปลว่า ทำได้ตามใจชอบ
“Free and easy” แปลว่า สบาย ๆ ไม่ต้องทางการมาก
“Walk free” แปลว่า พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่าง
. . . . .
นี่ยังไม่ได้ข้ามไป parts of speech อื่นเลย แค่ free ในเวอร์ชัน adjective ด้วยกันเอง ก็ยังมีหลายความหมายมาก ๆ ครับ ถ้าข้ามไปเวอร์ชันกริยา ก็มีหลายความหมายไม่แพ้กัน นอกจากความหมาย “ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ” ที่กล่าวไปก่อนหน้า เรายังสามารถบอกว่า…
“I need to free up some time this weekend.” (สุดสัปดาห์นี้ผมต้องหาเวลาว่างสักหน่อยแล้ว)
(Free (up) = ทำให้ว่าง)
“He tried to free the wheels from the mud.” (เขาพยายามหมุนล้อให้หลุดจากโคลน)
(Free (something) from (something)) = เคลียร์หรือเอาบางอย่างออกไป)
“The new policy will free employees from unnecessary paperwork.” (นโยบายใหม่จะช่วยให้พนักงานไม่ต้องทำงานเอกสารที่ไม่จำเป็น)
(Free (someone) from (something) = ลดภาระ)
. . . . .
แล้วยังมี free ในความหมายคำนามด้วย (ไม่ใช่แค่ freedom ที่แปลว่า อิสรภาพ) คือวลี “a free-for-all” ที่แปลว่า สถานการณ์รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่าย (เรารู้ว่ามันเป็นคำนามเพราะมันใช้คู่กับ a)
เช่นในประโยค “One push in the hallway turned into a free-for-all.”
(มีคนผลักกันแค่ครั้งในตรงโถงทางเดินแล้วก็เกิดเหตุตะลุมบอนเลย)
หรือ “The argument on the football field turned into a free-for-all.”
(จากเหตุเถียงกันในสนามฟุตบอลก็กลายเป็นตีกันชุลมุน)
แค่คำ ๆ เดียวแต่เรารู้ parts of speech ของมัน ก็แต่งประโยคได้หลายแบบมากครับ แล้วประเด็นคือภาษาอังกฤษมีคำแบบนี้เยอะมาก (หนึ่งคำเป็นได้หลาย parts of speech และสื่อได้หลายความหมาย) ทุกครั้งที่เรียนคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้เปิด dictionary เพื่อเช็ก part of speech ของมันเสมอนะ
______________
"รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
JGC.