การไปสถานีตำรวจครั้งหนึ่งของเรา กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่อยากลืมมากกว่าจดจำ
ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่ซึ่งควรจะเป็น “ที่พึ่งของประชาชน”กลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้รบกวน หรือกระทั่งผู้ต้องหาในสายตาตำรวจ
ตู้บัตรคิวชำรุด ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ
เมื่อเดินเข้าไปสอบถาม กลับถูกมองด้วยสายตาเย็นชา ท่าทีไม่อยากตอบ
ความรู้สึกที่ควรจะอุ่นใจก่อนไปถึงสถานีตำรวจ กลับกลายเป็นความอึดอัดและระแวงโดยไม่รู้ตัว
จนถึงขั้นตอนการลงบันทึกประจำวัน
ร้อยเวรที่รับเรื่องพูดจาห้วน น้ำเสียงแข็ง ใบหน้าไม่เป็นมิตร ทั้งที่เราเริ่มต้นด้วยความสุภาพ และเพียงต้องการความช่วยเหลือ
แต่กลับได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นคนที่ “มาสร้างปัญหา”
เราเข้าใจดีว่าตำรวจเองก็มีภาระ มีความกดดันจากงานแต่ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนที่ก้าวเข้าไปในสถานีตำรวจส่วนใหญ่ไม่ได้ไปเพราะอยากไป — แต่เพราะ “ไม่มีทางเลือกอื่น” เขามาด้วยความเดือดร้อน ความกลัว หรือแม้แต่ความหวังสุดท้ายที่จะได้รับการคุ้มครองจากผู้ถืออำนาจตามกฎหมาย
ทว่าความหวังนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย”ในสถานที่ซึ่งควรจะปลอดภัยที่สุด
เมื่อคิดจะร้องเรียน ระบบร้องเรียนกลับต้องให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและถ่ายภาพใบหน้า เราจึงเลือกที่จะ “เงียบ”และเผลอคิดกับตัวเองในใจ —ว่าสุดท้ายแล้วตำรวจคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือผู้มีอิทธิพล? แม้แต่ระบบร้องเรียนก็คิดมาอย่างดี
หรือภาวนาให้… ตำรวจไทยมาจากการคัดเลือกของประชาชนหรือมีแบบสำรวจประเมินสำรวจความพึ่งพอใจต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสถานีตำรวจในเขตพื้นที่ประจำปีหรือมีแต่เราไม่เคยรู้?
ทำไมไปสถานีตำรวจแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย... ทั้งๆ ที่ควรจะรู้สึกอุ่นใจ
ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่ซึ่งควรจะเป็น “ที่พึ่งของประชาชน”กลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้รบกวน หรือกระทั่งผู้ต้องหาในสายตาตำรวจ
ตู้บัตรคิวชำรุด ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ
เมื่อเดินเข้าไปสอบถาม กลับถูกมองด้วยสายตาเย็นชา ท่าทีไม่อยากตอบ
ความรู้สึกที่ควรจะอุ่นใจก่อนไปถึงสถานีตำรวจ กลับกลายเป็นความอึดอัดและระแวงโดยไม่รู้ตัว
จนถึงขั้นตอนการลงบันทึกประจำวัน
ร้อยเวรที่รับเรื่องพูดจาห้วน น้ำเสียงแข็ง ใบหน้าไม่เป็นมิตร ทั้งที่เราเริ่มต้นด้วยความสุภาพ และเพียงต้องการความช่วยเหลือ
แต่กลับได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นคนที่ “มาสร้างปัญหา”
เราเข้าใจดีว่าตำรวจเองก็มีภาระ มีความกดดันจากงานแต่ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนที่ก้าวเข้าไปในสถานีตำรวจส่วนใหญ่ไม่ได้ไปเพราะอยากไป — แต่เพราะ “ไม่มีทางเลือกอื่น” เขามาด้วยความเดือดร้อน ความกลัว หรือแม้แต่ความหวังสุดท้ายที่จะได้รับการคุ้มครองจากผู้ถืออำนาจตามกฎหมาย
ทว่าความหวังนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย”ในสถานที่ซึ่งควรจะปลอดภัยที่สุด
เมื่อคิดจะร้องเรียน ระบบร้องเรียนกลับต้องให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและถ่ายภาพใบหน้า เราจึงเลือกที่จะ “เงียบ”และเผลอคิดกับตัวเองในใจ —ว่าสุดท้ายแล้วตำรวจคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือผู้มีอิทธิพล? แม้แต่ระบบร้องเรียนก็คิดมาอย่างดี
หรือภาวนาให้… ตำรวจไทยมาจากการคัดเลือกของประชาชนหรือมีแบบสำรวจประเมินสำรวจความพึ่งพอใจต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสถานีตำรวจในเขตพื้นที่ประจำปีหรือมีแต่เราไม่เคยรู้?