"ขึ้น 10 เด้ง ลง 20 หลุม" บทเรียนหุ้น TTCL "จากราคา IP ที่ 4.25 บาท" จากราคา 57.25 บาท เหลือ 0.20 บาท !

ขอให้ฟื้นฟูกลับมาได้

TTCL หุ้นไทยรายล่าสุดที่ขอฟื้นฟูกิจการ หลังแบกหนี้มโหฬารกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท สวนทางผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง สูบสภาพคล่องการเงินพัง ผิดชำระหุ้นกู้ พบราคาหุ้นเคยพุ่งกว่า 10 เด้ง ทำไฮถึง 57.25 บาท แต่ล่าสุดเหลือ 0.20 บาท เท่านั้น







TTCL หุ้นไทยรายล่าสุดที่ขอฟื้นฟูกิจการ หลังแบกหนี้มโหฬารกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท สวนทางผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง สูบสภาพคล่องการเงินพัง ผิดชำระหุ้นกู้ พบราคาหุ้นเคยพุ่งกว่า 10 เด้ง ทำไฮถึง 57.25 บาท แต่ล่าสุดเหลือ 0.23 บาท เท่านั้น

บมจ.ทีทีซีแอล (TTCL) เดิมชื่อ บมจ.โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น (TTCL) ก่อตั้งเมื่อ 24 เม.ย.2528 ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้างโรงงานแบบครบวงจร ให้แก่ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลังงาน ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ภายใต้การร่วมทุนกันระหว่าง "Toyo Engineering Corporation (TEC)" จากประเทศญี่ปุ่น และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) สัดส่วน 49 : 51% ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท

หลังธุรกิจดำเนินมากว่า 24 ปี ก็ได้เวลาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจ เมื่อ 16 มิ.ย.52 โดยขาย IPO จำนวน 130 ล้านหุ้น ราคา 4.25 บาท/หุ้น (พาร์ 1 บาท/หุ้น)

ช่วง 4-5 ปีแรกของ TTCL ในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างสวยหรู เพราะผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปี โดยสิ้นปี 52 ทำได้ 325 ล้านบาท, สิ้นปี 53 ทำได้ 337 ล้านบาท, สิ้นปี 54 ทำได้ 399 ล้านบาท, สิ้นปี 55 ทำได้ 546 ล้านบาท และสิ้นปี 56 ทำได้ 655 ล้านบาท

แน่นอนว่าผลงานโดดเด่น ราคาหุ้นก็ต้องวิ่งตาม จากราคา IPO ที่ 4.25 บาท ใช้เวลาเพียงปีกว่าบวกไประดับเกิน 100% ปลายปี 53 ทำจุดสูงสุดแรกที่ 10.40 บาท แม้หลังจากนั้นจะปรับลดลงบ้าง แต่ก็กลับขึ้นไปอยู่แถว 10-11 บาทได้ แต่หลังจากปลายปี 54 ที่ทะลุ 11 บาท หุ้น TTCL ก็กลายเป็นขาขึ้นชัดเจนร่วม 2 ปี จนขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 57.25 บาท เมื่อกลางปี 56 หากคิดจากระดับราคา IPO หุ้น TTCL บวกไปกว่า 1,247%

แต่หลังจากขึ้นไปถึงจุดสุดยอดได้ไม่นาน ราคาหุ้น TTCL ก็เริ่มมีแรงขายหนัก ๆ ออกมา สิ้นปี 56 เหลือ 34 บาท ระหว่างปี 57 แม้ราคาอาจจะฟื้นขึ้นไปได้ถึง 41 บาท แต่ก็แค่ช่วงสั้น ๆ เพราะหลังจากงบการเงินปี 57 ออกมาพบว่า กำไรสุทธิลดลงเหลือ 460 ล้านบาท ทีนี้ก็โดนถล่มขายต่อเนื่อง ตอกย้ำโดยกำไรสุทธิปี 58 ลดลงเหลือ 423 ล้านบาท, ปี 59 ลดลงเหลือ 400 ล้านบาท, ปี 60 เหลือ 53 ล้านบาท และปี 61 พลิกขาดทุนมโฟฬารถึง 1,980 ล้านบาท

ราคาหุ้นไม่ต้องพูดถึงลงตลอดทาง ต้นปี 61 หลุดต่ำกว่า 10 บาทอีกครั้งในรอบประมาณ 7 ปี แม้จะมีดีดฟื้นได้บ้างหลังจากนั้นแต่ก็ไม่นาน เพราะผลประกอบการปี 62 ยังขาดทุนต่อเนื่องอีก 206 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามผลประกอบการของ TTCL เหมือนจะฟื้นตัวกลับมาได้แล้ว เพราะปี 63 พลิกมีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท ต่อเนื่องปี 64 มีกำไรเติบโตเป็น 289 ล้านบาท และปี 65 กำไรทำสถิติสูงสุดที่ 700 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นกลับไม่ตอบสนองขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่แถว 4-5 บาท ไม่สามารถขึ้นไปเหนือ 10 ได้อีกเลย

ธุรกิจของ TTCL เหมือนวนลูป หลังจากกำไรทำสถิติมักจะดรอปลงเสมอ เพราะปี 66 รายงานกำไรลดลงเหลือ 250 บาท ขณะที่ปี 67 พลิกขาดทุนอีกครั้งที่ 466 ล้านบาท จนมาดิ่งอีกรอบในงบครึ่งแรกปี 68 ที่ขาดทุน 1,793 ล้านบาท

แม้ตอนพลิกกลับมากำไรรอบปี 63-65 ราคาหุ้นไม่ค่อยตอบสนอง แต่ตอนกำไรลดจนถึงพลิกขาดทุนช่วงเกือบ 3 ปีหลัง ราคาหุ้นตอบสยองได้ดีมาก เพราะลดลงต่อเนื่องจนหลุดต่ำกว่า 1 บาท เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ล่าสุด 6 พ.ย.68 เหลือเพียง 0.23 บาท เท่านั้น !!!

ทั้งนี้ ระหว่างการเดินทางของ TTCL เริ่มมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ช่วงปี 61 ซึ่งมีการขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) แก่ "Sojittz Coporation (Sojitz)" จำนวน 56 ล้านหุ้น ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทน "Toyo Engineering Corporation (TEC)" (ส่วน ITD ปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งสุดท้าย ณ วันปิดสมุด 29 ส.ค.59)

เท่ากับว่ากลุ่มผู้ก่อตั้งอย่าง "Toyo Engineering Corporation (TEC)" และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ทยอยถอนตัวตั้งแต่ช่วงขาดทุนหนักรอบแรกแล้ว

หรือแม้แต่ "Sojittz Coporation (Sojitz)" ก็ไม่ปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว (ครั้งสุดท้ายที่มีชื่อคือ วันปิดสมุด 19 มี.ค.64)

ข้อมูลล่าสุด ณ วันปิดสมุด 14 มี.ค.68 กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก ประกอบด้วย "กิลเบิร์ต เอ็น วอง" สัดส่วน 7.64%, "โกลบอล บิสซิเนส แมเนจเมนท์" สัดส่วน 6.27%, "MR.HIRONOBU IRIYA" สัดส่วน 5.55%, "DAIWA CAPITAL MARKETS SINGAPORE LIMITED" สัดส่วน 5%, "สุรัตนา ตฤณรตนะ" สัดส่วน 2.79%, "สุเทพ พัฒนสิน" สัดส่วน 2.78%, "เจียรนัย เลิศรัชต์กุล" สัดส่วน 2.76%, "มานิคา-ไทยคอร์ปอเรชั่น" สัดส่วน 2.35%, "สุชีพ เจริญวงศ์" สัดส่วน 1.57% และ "ไทยเอ็นวีดีอาร์" สัดส่วน 1.27%

ทั้งนี้ TTCL มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ 14 มี.ค.68 รวม 7,020 ราย คิดเป็น Free Float รวม 70.03%

ขณะที่พบว่า TTCL ถูก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับลดอันดับเครดิตองค์กร ถึง 5 ครั้งในรอบ 4 เดือน เพราะแนวโน้มผลการดำเนินงานอ่อนแอ และสภาพคล่องทางการเงินเปราะบาง

สัญญาณเริ่มจาก 11 ก.ค.68 ลดอันดับเครดิตเป็น "BB+" จากเดิม "BBB-" และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative” จาก “Stable” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์ จากต้นทุนที่สูงเกินกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ และมูลค่างานในมือที่รอส่งมอบ (Backlog) ที่ลดลง

ต่อมา 3 ก.ย.68 ถูกลดอันดับเครดิตเหลือ "BB-" หลังงบการเงินครึ่งแรกปี 68 ขาดทุนถึง 1,793 ล้านบาท โดยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Negative" บ่งชี้ถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะถดถอยลงอีก เนื่องจากความล่าช้าในการได้งานโครงการใหม่ รวมผลขาดทุนเพิ่มเติมอันเนื่องมาจากต้นทุนที่บานปลาย หรือ การเพิ่มขึ้นของการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL)

จากนั้น 8 ต.ค.68 ถูกลดอันดับเครดิตเหลือ "B+" หลัง TTCL เสนอขอขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้จำนวน 5 ชุด (TTCL25OA TTCL263A TTCL269A TTCL277A และ TTCL281A มูลค่ารวม 2,544 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยครบกำหนด 27 ต.ค.68-30 ม.ค.71) ออกไปอีก 6 ปี

จน 24 ต.ค.68 ถูกลดอันดับเครดิตเหลือ "C" เพราะมีความเป็นไปได้ที่ TTCL จะผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น หลังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นกู้เกี่ยวกับข้อเสนอขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนได้ เพิ่มแรงกดดันให้ต้องรับมือกับการชำระหนี้หุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดเร็ว ๆ นี้ ซึ่งสวนทางกับกระแสเงินสดที่อ่อนแอและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากตลาดสินเชื่อที่จำกัดเพราะฐานะทางการเงินเปราะบาง

ล่าสุดถูกลดอันดับเครดิตเป็น "D" แล้ว หลังไม่สามารถชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 389.9 ล้านบาท (TTCL25OA) ที่ครบกำหนดในวันที่ 27 ต.ค.68 ได้ จากการขาดสภาพคล่องทางการเงิน

เมื่อ 31 ต.ค.68 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติ อนุมัติยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและเสนอผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยระบุสาเหตุดังนี้

1.ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่มีกระแสเงินสดเพียงพอที่ใช้ดำเนินธุรกิจ เนื่องจากคู่ค้าผิดนัดชำระเงินค่าก่อสร้าง รวมเป็นจำนวนกว่าหลายพันล้านบาท (ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาและฟ้องคดีกับเจ้าของโครงการดังกล่าว)

2.งานก่อสร้างใหม่ลดลง เนื่องจากเจ้าของโครงการมีการยกเลิกการลงทุน และชะลอการลงทุน เพราะต้นทุนในการดำเนินธุรกิจก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

3.มีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระ และไม่สามารถชำระให้แก่เจ้าหนี้ได้อีกจำนวนหลายราย ได้แก่ สถาบันการเงิน บริษัทคู่ค้าและเจ้าหนี้หุ้นกู้

4.กิจการของบริษัทมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างหนัก เช่น ปิโตรเคมี และ โรงไฟฟ้า ในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในวงการธุรกิจการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และ การก่อสร้างโรงงานแบบครบวงจร มาเป็นเวลายาวนานกว่า 40 ปี

5.บริษัทมีความสำคัญต่อบุคคลอื่น หรือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องและมีผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก เช่น บริษัทผู้รับเหมารายย่อย บริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง ห้างร้านที่จัดจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัท รวมถึงผู้ถือหุ้นสามัญและผู้ถือหุ้นกู้

6.การฟื้นฟูกิจการจะช่วยการปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้กลุ่มต่างๆ ได้แก่ เจ้าหนี้สถาบันการเงิน เจ้าหนี้หุ้นกู้ และ เจ้าหนี้การค้า ให้มีความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ทุกกลุ่ม และ สามารถดำเนินการได้ภายในกรอบที่กฎหมายกำหนด

ขณะที่แนวทางของการฟื้นฟูกิจการเบื้องต้นมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

1.เจรจากับเจ้าหนี้กลุ่มต่าง ๆ เช่น สถาบันการเงิน เจ้าหนี้หุ้นกู้ และ เจ้าหนี้การค้า เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ค้างในการชำระ เช่น การขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ การผ่อนผันชำระคืนเงินต้น เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดและแหล่งเงินทุนที่จะสามารถนำมาชำระหนี้ได้

2.การหาเงินทุนเพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบของการหาเงินกู้ หรือ การหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ เพื่อให้สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้เร็วขึ้น อันจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับเป็นประโยชน์สูงสุด

3.การขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้

4.ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ โดยขยายขอบเขตการให้บริการธุรกิจที่เน้นงานด้านบริการวิศวกรรม (Engineering Services) เช่น งานออกแบบส่วนหน้า (FEED) งานบริหารโครงการ (PM) และ งานเดินเครื่องและบำรุงรักษา(O&M) ซึ่งงานให้บริการดังกล่าวไม่มีต้นทุนทางการเงินที่สูง และ มีอัตราการทำผลกำไรสูงกว่าธุรกิจ EPC

5.รับเงินปันผลของบริษัทย่อยของบริษัทได้แก่ บริษัท "ทีทีซีแอล (ประเทศเวียดนาม)", "เอ็นที ไบโอแมส โปรดักส์" และ "อริยะ ไปโอฟูแอล" เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้

ทั้งนี้ข้อมูลแสดงฐานะการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ณ 30 มิ.ย.68 มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 722.19 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,336.35 ล้านบาท และ สินทรัพย์รวม 15,058.54 ล้านบาท ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน แต่มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวมเพียง 587.60 ล้านบาท ซึ่งสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ภายในระยะสั้น

ดังนั้นการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทจะช่วยให้บริษัทแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกฎหมายรองรับ และ ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม อีกทั้ง บริษัทยังสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อการแก้ไขปัญหาของบริษัท และ สร้างผลกำไรจากการดำเนินกิจการต่อไปในอนาคตได้อย่างมั่นคง

=AT2eklPMcL-WysI7NqrXDIEsfKk30jHVGMrtY3WsAVbmxWSHSa0Tgp4VTbAfpU_WYnHsoNyv8xrKzPrwOfqqib5ufyxod_QWNQqZWuQjE0StrmugjGRO9SzXV19OX-tNjj-trlKp5BlWm_Mqko4HSlSheKD-0FctjVz5hwGuSKVglvmlGqM4EVO9bx6rjA-kY1dNLaWUpHnXs0K9CdRCLM_E2Q]https://l.facebook.com/l.php?u=https%3A%2F%2Fwww.efinancethai.com%2FHotTopic%2FHotTopicMain.aspx%3Fid%3DL0h1M0xPRVRsVTg9%26fbclid%3DIwZXh0bgNhZW0CMTAAYnJpZBExVHRWcDVrSDlWc01QNE1MbHNydGMGYXBwX2lkEDIyMjAzOTE3ODgyMDA4OTIAAR5hMwKTNbwXWBFqKMJwhHwsuevWKABMXoB6Wgybxpnzuak9rusEqj1RGCo1ng_aem_fTV3JF6WlAX04X5bZtU2QA&h=AT29-25C8z6ogDPzDqakTjjmfHOkBCrBap4ao-vk0zseakrFRCmKnJnOuwCX5k4SqkWNBPXZH0cc0qc45thSdS2ba4ymnx45i3SBE5Bk7Sag3uCy7LMPnFVM5hbWYTWmRcVd0aCmLrbaUYoC&__tn__=R*F&c[0]=AT2eklPMcL-WysI7NqrXDIEsfKk30jHVGMrtY3WsAVbmxWSHSa0Tgp4VTbAfpU_WYnHsoNyv8xrKzPrwOfqqib5ufyxod_QWNQqZWuQjE0StrmugjGRO9SzXV19OX-tNjj-trlKp5BlWm_Mqko4HSlSheKD-0FctjVz5hwGuSKVglvmlGqM4EVO9bx6rjA-kY1dNLaWUpHnXs0K9CdRCLM_E2Q

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่