(หมายเหตุ - กระทู้มีการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วน แต่ไม่กระทบกับตอนสำคัญหรือบทสรุปของเนื้อเรื่อง)
มาอีกแล้วครับ หนังของ ผกก.
Yorgos Lanthimos ผกก. ที่ค่อนข้างจะโดนเส้นผมพอสมควร ชอบงานภาพ และงานออกแบบศิลป์ของแกครับ แต่งานนี้ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี เพราะได้
Ari Aster มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง คือ ผมค่อนข้างจะเข้าไม่ถึงกับบางอย่างในงานของพี่เค้าอยู่บ้างครับ แต่กระนั้น การได้นางเอกคู่บุญอย่าง
Emma Stone กับสาว Sexy จากยุค 90's อย่าง
Alicia Silverstone มาร่วมแสดง ก็ทำให้ความอยากดูพลุกพล่านเลยทีเดียวครับ เพราะชอบทั้ง 2 คน นอกจากนี้ ยังร่วมด้วย
Jesse Plemons,
Aidan Delbris และ
Stavros Halkias อีกด้วยครับ
Bugonia สร้างขึ้นโดยอาศัยพล็อตจากหนังเกาหลีเรื่อง
Save the Green Planet (2003) ซึ่งผมก็ไม่เคยดูครับ โดยต้นฉบับมาในรูปแบบของหนัง Comedy Sci-Fi อืม! แค่รูปแบบของหนังก็น่าดูแล้วใช่มั้ยครับ เพราะหนังสไตล์นี้ไม่ได้มีมาให้ดูบ่อย ๆ
หนังเล่าถึงเรื่องราวของ
Teddy และลูกพี่ลูกน้องสมองช้าที่ชื่อว่า
Dan ทั้งคู่มีความลุ่มหลงในการเลี้ยงผึ้งมาก หากแต่วันหนึ่ง Teddy พบว่าอาณาจักรผึ้งที่เขาเฝ้าดูแลประคบประหงม กลับกำลังล่มสลายลงด้วยโรคซีซีดีที่ทำให้ผึ้งตาย เขาเชื่อว่าสาเหตุมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงที่ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทยา Autolith (ซึ่งเขาเองก็ทำงานเป็นลูกจ้างแผนกแพ็คของในบริษัทนี้เช่นกัน และที่สำคัญแม่ของ Teddy ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทดลองยาของบริษัทนี้ จนกลายเป็นต้องนอนติดเตียง เป็นกึ่ง ๆ เจ้าหญิงนิทรา และนอกจากเงินชดเชยที่ไม่ได้มากมายอะไร บริษัทก็ไม่ได้สนใจอะไรกับครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบเลย) ด้วยเหตุนี้ Teddy และ Dan จึงวางแผนที่จะลักพาตัว
Michelle Fuller ซีอีโอสาวเก่งของบริษัท เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า Michelle คือ เอเลี่ยนที่มาจากดาวแอนโดรเมดา และวัตถุประสงค์ที่มาอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อผลิตยาและสารเคมีต่าง ๆ เพื่อทำลายล้างโลก เขาทั้งคู่จึงต้องกอบกู้โลก โดยการให้ Michelle พาไปพบกับจักรพรรดิแห่งราชสำนักแอนโดรเมดา เพื่อขอต่อรองให้ยุติการทำลายล้างโลกใบนี้..
แค่พล็อตเรื่องก็เป็นอะไรที่สุดติ่งแล้วใช่มั้ยครับ แต่เมื่อเข้าไปดูจริงแล้วจะพบว่า รูปแบบการดำเนินเรื่องก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเช่นกัน หากเปรียบเป็นกราฟ หนังเรื่องนี้ก็คงเหมือนกราฟที่พุ่งทะยานจากต้นเรื่อง อาจมีตกท้องช้างบ้างตอนกลางเรื่อง ก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นไปแล้วระเบิดออกมาแบบขีปนาวุธในตอนท้าย
ความรู้สึกหลังดูหนังจบแล้วก็คือ เป็นหนังของ Yorgos ที่บ้าบอคอแตกมาก แต่ก็ค่อนข้างจะดูง่าย ย่อยง่ายกว่าหนังเรื่องก่อน ๆ แต่คำว่า
"ง่าย" ในที่นี้ คงต้องอาศัยชื่อเพลงของวง Getsunova เข้ามาช่วย คือ
"ง่าย.. ที่ไม่ได้แปลว่าง้ายง่าย" ครับ ยอมรับว่าตลอดเวลาที่นั่งดูหนัง ในหัวสมองผมมันตีกันวุ่นวายไปหมดว่า ตกลงว่าฉันจะเชื่อใครฝั่งไหนดีเนี่ยะ แล้วตกลงทุกคนที่อยู่ในหนังนี่ เป็นคนปกติ เป็นคนบ้า เป็นเอเลี่ยน เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องคิดไปเอง สับสนไปหมด 555
หนังใช้บทสนทนาเพื่อดำเนินเรื่อง ผ่านคน 2 คน คือ Teddy ผู้ที่มีความเชื่อและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของเอเลี่ยนที่จะมาทำลายล้างโลก กับ Michelle ซีอีโอสาว ผู้ที่จะต้องเอาตัวรอดจากการถูกจับตัวและทำร้ายร่างกายจากคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเอเลี่ยน โดยนอกจากนี้ หนังยังใช้ Dan ลูกพี่ลูกน้องสมองช้าของ Teddy ที่คอยตั้งคำถาม ทำให้เราได้คำตอบถึงเหตุและผลบางอย่างที่ตัวละครทั้งหมดได้ลงกระทำไป รวมทั้งเป็นคนดึงความรู้สึกเมื่อตัวละครแต่ละฝั่งดูอารมณ์พุ่งพล่านมากเกินไป อันนี้นับว่าเป็นความชาญฉลาดของ ผกก. ที่ใช้เลือกวิธีที่แยบยลเช่นนี้
ในช่วงแรกที่หนังยังไม่เปิดเผยถึงเหตุผลลึก ๆ ที่แฝงอยู่ จนทำให้ทั้ง Teddy และ Dan ตัดสินใจลักพาตัว Michelle ไป ผมก็รู้สึกว่าเจ้า 2 คนนี้มันสติเฟื่องหรือเปล่า แต่พอรู้แล้ว ผมกลับสงสารเจ้า 2 คนนี้มาก สิ่งที่พวกเขาได้เจอมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้กล้าลงมือกระทำอะไรแบบนี้
สิ่งที่ชอบมากจากหนังเรื่องนี้ คือ สารที่หนังต้องการนำเสนอ กับคำถามที่ว่า
"แท้จริงแล้ว.. ใครกันแน่ที่เป็นตัวทำลายล้างโลก มนุษย์หรือเอลี่ยน" และภาพสะท้อนถึง
"ระบบทุนนิยม กับการต่อสู้ของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการความเป็นธรรมในชีวิต" บทสนทนาระหว่าง Teddy กับ Michelle มันสะท้อนถึงเสียงของคนธรรมดา กับผู้บริหารระดับสูง ชนชั้นปกครอง หรือผู้ครอบครองทรัพยากรในระบบทุนนิยม ที่ฝ่ายหลังดูเหมือนจะสามารถใช้ทักษะที่สูงกว่าในการตอบคำถามและเอาตัวรอด สร้างภาพให้ทุกการกระทำดูดีและชอบธรรมไปหมด รวมทั้งสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อควบคุมคนที่อยู่ระดับล่างกว่า ในขณะที่ Teddy กลับกลายเป็นคนที่สติแตกไปก่อนเอง ซึ่งก็เหมือนกับคำตอบในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชนชั้นธรรมดาที่ไม่ว่าจะต่อสู้อย่างไร มันก็เป็นการยากที่จะเอาชนะชนชั้นบนหรือผู้ครอบครองทรัพยากรได้.. และความจริงที่ว่า
"ไม่มีใครจะทำร้ายโลกมนุษย์ของเราได้ นอกจากมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง" ส่วนคำถามและความคิดของ Dan ก็คงเป็นตัวแทนของคนธรรมดา ๆ ที่ใช้ชีวิตให้รอดไปวัน ๆ ใครฝ่ายไหนให้ผลประโยชน์ก็พร้อมจะรับฟังและทำตาม เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
ผมชอบองค์สุดท้ายของหนังมาก มันช่างบ้าบอคอแตก ตลาดแตก หลุดโลก อะไรได้ขนาดนั้น ยิ่งบทสรุปตอนจบนี่ทำเอาผมเหวอไปเลยครับ แบบ เห้ย! ตกลงฉันจะต้องเชื่อตามนั้นแล้วใช่มั้ย.. ฉันไม่อาจปฎิเสธมันได้แล้วใช่มั้ย.. พี่พีทช่วยด้วย 555
สรุป หนังของ Yorgos ก็ยังเป็นหนังที่โดนเส้นผมอยู่เช่นเคย หนังเรื่องถือว่าดูง่ายกว่าเรื่องก่อน ๆ แล้วครับ แต่ต้องปล่อยสมองให้สบาย ๆ อย่ายึดอยู่กับความคิดในหัว ให้หนังมันพาเราไปครับ จะสนุกมาก แบบบ้าไปกับมันเลยครับ เป็นหนังที่เหมาะกับการดูในโรง ใช้สมาธิกับบทสนทนาครับ ถ้าเปรียบกับหนัง Yorgos สองเรื่องหลัง ผมชอบ Poor Things มากกว่า แต่ชอบเรื่องนี้มากกว่า Kinds of Kindness สุดท้ายแล้ว ชอบการแสดงของทุกคนครับ Emma ยอมโกนผมจริงในการแสดงด้วยครับ แต่ที่เสียดายนิดนึง คือ สาว Alicia ของผม ออกมาน้อยไม่ว่า แต่วันเวลาก็พาเธอไปไกลเหมือนกันครับ
/ท้ายสุดของสุดท้าย เพลงประกอบตอนฉากจบเพราะมากครับ "Where Have All the Flowers Gone?" เวอร์ชั่นของ Marlene Dietrich ลองหาฟังดูใน YT นะครับ
พูดคุยและรีวิว.. Bugonia บูโกเนีย.. เมื่อมนุษย์บุกลักพาตัวเอเลี่ยน เพื่อช่วยโลกให้พ้นภัย ???
(หมายเหตุ - กระทู้มีการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วน แต่ไม่กระทบกับตอนสำคัญหรือบทสรุปของเนื้อเรื่อง)
มาอีกแล้วครับ หนังของ ผกก. Yorgos Lanthimos ผกก. ที่ค่อนข้างจะโดนเส้นผมพอสมควร ชอบงานภาพ และงานออกแบบศิลป์ของแกครับ แต่งานนี้ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี เพราะได้ Ari Aster มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง คือ ผมค่อนข้างจะเข้าไม่ถึงกับบางอย่างในงานของพี่เค้าอยู่บ้างครับ แต่กระนั้น การได้นางเอกคู่บุญอย่าง Emma Stone กับสาว Sexy จากยุค 90's อย่าง Alicia Silverstone มาร่วมแสดง ก็ทำให้ความอยากดูพลุกพล่านเลยทีเดียวครับ เพราะชอบทั้ง 2 คน นอกจากนี้ ยังร่วมด้วย Jesse Plemons, Aidan Delbris และ Stavros Halkias อีกด้วยครับ
Bugonia สร้างขึ้นโดยอาศัยพล็อตจากหนังเกาหลีเรื่อง Save the Green Planet (2003) ซึ่งผมก็ไม่เคยดูครับ โดยต้นฉบับมาในรูปแบบของหนัง Comedy Sci-Fi อืม! แค่รูปแบบของหนังก็น่าดูแล้วใช่มั้ยครับ เพราะหนังสไตล์นี้ไม่ได้มีมาให้ดูบ่อย ๆ
หนังเล่าถึงเรื่องราวของ Teddy และลูกพี่ลูกน้องสมองช้าที่ชื่อว่า Dan ทั้งคู่มีความลุ่มหลงในการเลี้ยงผึ้งมาก หากแต่วันหนึ่ง Teddy พบว่าอาณาจักรผึ้งที่เขาเฝ้าดูแลประคบประหงม กลับกำลังล่มสลายลงด้วยโรคซีซีดีที่ทำให้ผึ้งตาย เขาเชื่อว่าสาเหตุมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงที่ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทยา Autolith (ซึ่งเขาเองก็ทำงานเป็นลูกจ้างแผนกแพ็คของในบริษัทนี้เช่นกัน และที่สำคัญแม่ของ Teddy ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทดลองยาของบริษัทนี้ จนกลายเป็นต้องนอนติดเตียง เป็นกึ่ง ๆ เจ้าหญิงนิทรา และนอกจากเงินชดเชยที่ไม่ได้มากมายอะไร บริษัทก็ไม่ได้สนใจอะไรกับครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบเลย) ด้วยเหตุนี้ Teddy และ Dan จึงวางแผนที่จะลักพาตัว Michelle Fuller ซีอีโอสาวเก่งของบริษัท เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า Michelle คือ เอเลี่ยนที่มาจากดาวแอนโดรเมดา และวัตถุประสงค์ที่มาอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อผลิตยาและสารเคมีต่าง ๆ เพื่อทำลายล้างโลก เขาทั้งคู่จึงต้องกอบกู้โลก โดยการให้ Michelle พาไปพบกับจักรพรรดิแห่งราชสำนักแอนโดรเมดา เพื่อขอต่อรองให้ยุติการทำลายล้างโลกใบนี้..
แค่พล็อตเรื่องก็เป็นอะไรที่สุดติ่งแล้วใช่มั้ยครับ แต่เมื่อเข้าไปดูจริงแล้วจะพบว่า รูปแบบการดำเนินเรื่องก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเช่นกัน หากเปรียบเป็นกราฟ หนังเรื่องนี้ก็คงเหมือนกราฟที่พุ่งทะยานจากต้นเรื่อง อาจมีตกท้องช้างบ้างตอนกลางเรื่อง ก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นไปแล้วระเบิดออกมาแบบขีปนาวุธในตอนท้าย
ความรู้สึกหลังดูหนังจบแล้วก็คือ เป็นหนังของ Yorgos ที่บ้าบอคอแตกมาก แต่ก็ค่อนข้างจะดูง่าย ย่อยง่ายกว่าหนังเรื่องก่อน ๆ แต่คำว่า "ง่าย" ในที่นี้ คงต้องอาศัยชื่อเพลงของวง Getsunova เข้ามาช่วย คือ "ง่าย.. ที่ไม่ได้แปลว่าง้ายง่าย" ครับ ยอมรับว่าตลอดเวลาที่นั่งดูหนัง ในหัวสมองผมมันตีกันวุ่นวายไปหมดว่า ตกลงว่าฉันจะเชื่อใครฝั่งไหนดีเนี่ยะ แล้วตกลงทุกคนที่อยู่ในหนังนี่ เป็นคนปกติ เป็นคนบ้า เป็นเอเลี่ยน เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องคิดไปเอง สับสนไปหมด 555
หนังใช้บทสนทนาเพื่อดำเนินเรื่อง ผ่านคน 2 คน คือ Teddy ผู้ที่มีความเชื่อและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของเอเลี่ยนที่จะมาทำลายล้างโลก กับ Michelle ซีอีโอสาว ผู้ที่จะต้องเอาตัวรอดจากการถูกจับตัวและทำร้ายร่างกายจากคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเอเลี่ยน โดยนอกจากนี้ หนังยังใช้ Dan ลูกพี่ลูกน้องสมองช้าของ Teddy ที่คอยตั้งคำถาม ทำให้เราได้คำตอบถึงเหตุและผลบางอย่างที่ตัวละครทั้งหมดได้ลงกระทำไป รวมทั้งเป็นคนดึงความรู้สึกเมื่อตัวละครแต่ละฝั่งดูอารมณ์พุ่งพล่านมากเกินไป อันนี้นับว่าเป็นความชาญฉลาดของ ผกก. ที่ใช้เลือกวิธีที่แยบยลเช่นนี้
ในช่วงแรกที่หนังยังไม่เปิดเผยถึงเหตุผลลึก ๆ ที่แฝงอยู่ จนทำให้ทั้ง Teddy และ Dan ตัดสินใจลักพาตัว Michelle ไป ผมก็รู้สึกว่าเจ้า 2 คนนี้มันสติเฟื่องหรือเปล่า แต่พอรู้แล้ว ผมกลับสงสารเจ้า 2 คนนี้มาก สิ่งที่พวกเขาได้เจอมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้กล้าลงมือกระทำอะไรแบบนี้
สิ่งที่ชอบมากจากหนังเรื่องนี้ คือ สารที่หนังต้องการนำเสนอ กับคำถามที่ว่า "แท้จริงแล้ว.. ใครกันแน่ที่เป็นตัวทำลายล้างโลก มนุษย์หรือเอลี่ยน" และภาพสะท้อนถึง "ระบบทุนนิยม กับการต่อสู้ของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการความเป็นธรรมในชีวิต" บทสนทนาระหว่าง Teddy กับ Michelle มันสะท้อนถึงเสียงของคนธรรมดา กับผู้บริหารระดับสูง ชนชั้นปกครอง หรือผู้ครอบครองทรัพยากรในระบบทุนนิยม ที่ฝ่ายหลังดูเหมือนจะสามารถใช้ทักษะที่สูงกว่าในการตอบคำถามและเอาตัวรอด สร้างภาพให้ทุกการกระทำดูดีและชอบธรรมไปหมด รวมทั้งสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อควบคุมคนที่อยู่ระดับล่างกว่า ในขณะที่ Teddy กลับกลายเป็นคนที่สติแตกไปก่อนเอง ซึ่งก็เหมือนกับคำตอบในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชนชั้นธรรมดาที่ไม่ว่าจะต่อสู้อย่างไร มันก็เป็นการยากที่จะเอาชนะชนชั้นบนหรือผู้ครอบครองทรัพยากรได้.. และความจริงที่ว่า "ไม่มีใครจะทำร้ายโลกมนุษย์ของเราได้ นอกจากมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง" ส่วนคำถามและความคิดของ Dan ก็คงเป็นตัวแทนของคนธรรมดา ๆ ที่ใช้ชีวิตให้รอดไปวัน ๆ ใครฝ่ายไหนให้ผลประโยชน์ก็พร้อมจะรับฟังและทำตาม เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
ผมชอบองค์สุดท้ายของหนังมาก มันช่างบ้าบอคอแตก ตลาดแตก หลุดโลก อะไรได้ขนาดนั้น ยิ่งบทสรุปตอนจบนี่ทำเอาผมเหวอไปเลยครับ แบบ เห้ย! ตกลงฉันจะต้องเชื่อตามนั้นแล้วใช่มั้ย.. ฉันไม่อาจปฎิเสธมันได้แล้วใช่มั้ย.. พี่พีทช่วยด้วย 555
สรุป หนังของ Yorgos ก็ยังเป็นหนังที่โดนเส้นผมอยู่เช่นเคย หนังเรื่องถือว่าดูง่ายกว่าเรื่องก่อน ๆ แล้วครับ แต่ต้องปล่อยสมองให้สบาย ๆ อย่ายึดอยู่กับความคิดในหัว ให้หนังมันพาเราไปครับ จะสนุกมาก แบบบ้าไปกับมันเลยครับ เป็นหนังที่เหมาะกับการดูในโรง ใช้สมาธิกับบทสนทนาครับ ถ้าเปรียบกับหนัง Yorgos สองเรื่องหลัง ผมชอบ Poor Things มากกว่า แต่ชอบเรื่องนี้มากกว่า Kinds of Kindness สุดท้ายแล้ว ชอบการแสดงของทุกคนครับ Emma ยอมโกนผมจริงในการแสดงด้วยครับ แต่ที่เสียดายนิดนึง คือ สาว Alicia ของผม ออกมาน้อยไม่ว่า แต่วันเวลาก็พาเธอไปไกลเหมือนกันครับ
/ท้ายสุดของสุดท้าย เพลงประกอบตอนฉากจบเพราะมากครับ "Where Have All the Flowers Gone?" เวอร์ชั่นของ Marlene Dietrich ลองหาฟังดูใน YT นะครับ