By มาร์ตี้ แม็คฟราย
หนึ่งชื่อสำหรับหิ้งที่มีป้าย ‘ผู้กำกับดาวรุ่ง’ ในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าชื่อของผู้กำกับชาวกรีกอย่าง Yorgos Lanthimos ต้องเป็นอีกหนึ่งชื่อที่ต้องจารึกไว้อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะมองในแง่ผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการเล่าเรื่องเสียดสีสังคมสุดเจ็บแสบที่ฉาบหน้าด้วยเรื่องราวประหลาดอันเป็นจุดขายของเขาในหนังของเขา ซึ่งไม่ว่าจะชอบหรือไม่? เขาก็ได้ฝากผลงานอันเต็มไปด้วยลายเซ็นเฉพาะที่หากได้ลองดูหนังของเขาไปแล้ว ก็ทำใจลืมได้ยากเหลือเกิน
หลังจากโลดแล่นในฮอลลีวูดด้วยหนังอย่าง The Lobster (2015) และ The Killing of a Sacred Deer (2017) จนสร้างทั้งแฟนคลับที่คอยติดตาม (รวมถึงแฟนชังที่ทนไม่ไหวกับการนำเสนอแสนปวดตับที่มีตลอดทั้งเรื่อง) งานอย่าง The Favourite ก็กลายเป็นหนังเรื่องแรกของเขาที่ลองหันไปเล่าเรื่องที่สร้างจากประวัติศาสตร์ในช่วงบั้นปลายชีวิตของราชินีแอนน์ ราชินีแห่งอังกฤษที่ครองราชย์ในช่วงค.ศ. 1702 – 1707 ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวฉ้อฉล หลอกลวง ผลประโยชน์ การเมือง และชิงดีชิงเด่นระดับละครไทยยังต้องอาย
ในช่วงเวลานั้นราชินีแอนน์อยู่ในช่วงวัยทองที่อารมณ์แปรปรวน ที่ถูกทำร้ายทั้งกายและใจจากโรคข้อต่ออักเสบ (หรือโรคเก๊าตาม Subtitle ในโรงหนัง) รวมถึงการสูญเสียทั้งพระสวามีและลูกชายไป พระองค์จึงกลายเป็นหญิงสูงอายุที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย โดยมี ซาราห์ เชอร์ชิล เป็นพระสหายคนใกล้ชิด ที่คอยช่วยจัดการทั้งงานราชการแผ่นดิน รวมถึง ‘กำราบ’ ราชินีในยามที่อารมณ์เดือดดาลเกินเหตุ
ความขัดแย้งเริ่มต้นเมื่อ อบิเกล ฮิลล์ อดีตชนชั้นสูงตกอับผู้เป็นญาติของซาราห์ ได้เดินเข้ามาในวังเพื่อของานทำ หากแต่สังคมใส่หน้ากากในวังนั้นก็ได้เป็นเหตุให้อบิเกลคิดใฝ่สูงขึ้น และตำแหน่งที่ซาราห์นี่เอง ที่เธอหมายปอง
เรื่องราวน้ำเน่าแบบหญิงสองคนชิงดีชิงเด่นภายใต้ยุคสมัยเมื่อ 300 กว่าปีก่อนแบบนี้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจตั้งแต่แรกพบของบรรดาคนดู ว่าภายใต้การเล่าเรื่องยี่ห้อ Yorgos หนังจะออกมาเป็นเช่นไร
ผลที่ออกมาคือระดับโปรดักชั่นระดับหนังเอพิกชั้นเยี่ยม ที่โดดเด่นทั้งงานออกแบบงานสร้าง คอสตูมสุดสวย และงานกำกับภาพที่มีทั้งมุมกล้องแปลก ๆ และสื่อความหมายได้ยอดเยี่ยม องค์ประกอบเหล่านี้ยอดเยี่ยมเสมือนหนังเอพิกอิงประวัติศาสตร์แพง ๆ เรื่องหนึ่ง หากแต่พอมีผู้กำกับที่ชื่อ Yorgos Lanthimos หนังเรื่องนี้ดันมีจุดเด่นที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น
เพราะผู้กำกับได้อัดความเป็นตัวเองลงไปชนิดที่ว่าลืมไปได้เลยว่านี่คือหนังโปรดักชั่นแพงทุนสูง เพราะเขายังคงซื่อตรงและใส่ความเป็นตัวเองแบบสุดกู่ แม้ภายนอกจากเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์ แต่นิสัยจิกกัดและสะท้อนสันดานอันดำมืดของมนุษย์ของเขาไม่หายไปไหนเลย
ผู้กำกับคนอื่นอาจตีความเรื่องราวแบบนี้เป็นหนังเอพิกความยาวไม่น้อยกว่าสามชั่วโมงที่ต้องเล่าเรื่องชีวิต การเมือง และฉากสงครามใหญ่
แต่ Yorgos มองว่านี่คือเรื่องราวที่จะเปิดโอกาสได้เล่าความหิวกระหายอำนาจของเหล่าผู้คน ไม่ว่าจะในการทางการเมือง คุณค่าปัจเจกบุคคล และผลประโยชน์โดยที่ไม่สนว่าต้องทำลายชีวิตใครหรือไม่
ทำให้ Mood and Tone ของหนัง ไม่ได้มีความแตกต่างกับหนังเรื่องก่อนของเขาแต่อย่างใด ทั้งความกระอักกระอวนของหลาย ๆ สถานการณ์ ความไม่น่าไว้วางใจที่แฝงอยู่ในทุกฉากตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงฉากเหวอ (-) ในความตลกร้าย (ที่คนดูต้องมาย้อนคิดว่ากูควรจะขำมั้ย)
สิ่งที่เห็นได้ชัดโดยไร้ข้อกังขาอีกต่อไป สำหรับผู้กำกับที่ชื่อ Yorgos Lanthimos คือเป็นผู้กำกับที่นำเสนอด้านมืดและสันดานของมนุษย์ได้น่าสนใจ มีเอกลักษณ์ และน่าอัปลักษณ์ที่สุดคนหนึ่งของวงการ (คำชม) และด้วยเรื่องราวที่ไม่ยากต่อการเข้าใจหากเทียบกับงานก่อนหน้า ทำให้ The Favourite กลายเป็นงานที่ดูง่าย และเหมาะที่สุดในการเป็นบทเรียนเริ่มต้นในการทดสอบตัวเอง หากจะลองดูหนังของเขา
ผ่านการแสดงที่ต้องบอกว่าทั้งสามตัวละครนำแสดงได้ดีทุกคน โดยที่ไม่ได้มีใครเด่นกว่าใคร ต่างคนต่างรับหน้าที่ของตนเองได้ดีที่สุด ซึ่งต้องชมในส่วนของบทภาพยนตร์และการกำกับที่เฉลี่ยความสำคัญทั้งสามตัวละครนำได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็น Rachel Weisz ในบท ซาราห์ เชอร์ชิล Emma Stone ในบท อบิเกล ฮิลล์ และ Olivia Colman ในบทราชินีแอนน์ ซึ่งทั้งสามคนต่างได้ตบเท้าเข้าชิงออสการ์กันหมดทุกคน (โดย Colman เข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิง ส่วน Weisz และ Stone เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิง) ซึ่งอัพเดตล่าสุด Olivia Colman ก็สามารถคว้าออสการ์ตัวแรกในชีวิตไปครองได้สำเร็จ!
โดยเฉพาะรายของ Olivia Colman หนังเรื่องนี้อาจเป็นการประกาศต่อฮอลลีวูดว่ามันอาจถึงเวลาที่เธอจะต้องแจ้งเกิดได้เสียที จากฝีมือการแสดงที่โจษจันมาตั้งแต่ซีรีส์ดราม่าเรื่องเยี่ยมอย่าง Broadchurch (2013 - 2017) แถมยังเธอจะต้องไปรับบทเป็นราชินีอีกครั้งในซีรีส์ราชวงศ์อังกฤษอย่าง The Crown (Season 3) ในบทควีนเอลิซาเบธที่สอง ต่อจาก Claire Foy อีกด้วย
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
[Review] The Favourite: ราชินีขี้เหงากับงูพิษสองตัว (No-Spoil)
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
หนึ่งชื่อสำหรับหิ้งที่มีป้าย ‘ผู้กำกับดาวรุ่ง’ ในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าชื่อของผู้กำกับชาวกรีกอย่าง Yorgos Lanthimos ต้องเป็นอีกหนึ่งชื่อที่ต้องจารึกไว้อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะมองในแง่ผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการเล่าเรื่องเสียดสีสังคมสุดเจ็บแสบที่ฉาบหน้าด้วยเรื่องราวประหลาดอันเป็นจุดขายของเขาในหนังของเขา ซึ่งไม่ว่าจะชอบหรือไม่? เขาก็ได้ฝากผลงานอันเต็มไปด้วยลายเซ็นเฉพาะที่หากได้ลองดูหนังของเขาไปแล้ว ก็ทำใจลืมได้ยากเหลือเกิน
หลังจากโลดแล่นในฮอลลีวูดด้วยหนังอย่าง The Lobster (2015) และ The Killing of a Sacred Deer (2017) จนสร้างทั้งแฟนคลับที่คอยติดตาม (รวมถึงแฟนชังที่ทนไม่ไหวกับการนำเสนอแสนปวดตับที่มีตลอดทั้งเรื่อง) งานอย่าง The Favourite ก็กลายเป็นหนังเรื่องแรกของเขาที่ลองหันไปเล่าเรื่องที่สร้างจากประวัติศาสตร์ในช่วงบั้นปลายชีวิตของราชินีแอนน์ ราชินีแห่งอังกฤษที่ครองราชย์ในช่วงค.ศ. 1702 – 1707 ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวฉ้อฉล หลอกลวง ผลประโยชน์ การเมือง และชิงดีชิงเด่นระดับละครไทยยังต้องอาย
ในช่วงเวลานั้นราชินีแอนน์อยู่ในช่วงวัยทองที่อารมณ์แปรปรวน ที่ถูกทำร้ายทั้งกายและใจจากโรคข้อต่ออักเสบ (หรือโรคเก๊าตาม Subtitle ในโรงหนัง) รวมถึงการสูญเสียทั้งพระสวามีและลูกชายไป พระองค์จึงกลายเป็นหญิงสูงอายุที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย โดยมี ซาราห์ เชอร์ชิล เป็นพระสหายคนใกล้ชิด ที่คอยช่วยจัดการทั้งงานราชการแผ่นดิน รวมถึง ‘กำราบ’ ราชินีในยามที่อารมณ์เดือดดาลเกินเหตุ
ความขัดแย้งเริ่มต้นเมื่อ อบิเกล ฮิลล์ อดีตชนชั้นสูงตกอับผู้เป็นญาติของซาราห์ ได้เดินเข้ามาในวังเพื่อของานทำ หากแต่สังคมใส่หน้ากากในวังนั้นก็ได้เป็นเหตุให้อบิเกลคิดใฝ่สูงขึ้น และตำแหน่งที่ซาราห์นี่เอง ที่เธอหมายปอง
เรื่องราวน้ำเน่าแบบหญิงสองคนชิงดีชิงเด่นภายใต้ยุคสมัยเมื่อ 300 กว่าปีก่อนแบบนี้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจตั้งแต่แรกพบของบรรดาคนดู ว่าภายใต้การเล่าเรื่องยี่ห้อ Yorgos หนังจะออกมาเป็นเช่นไร
ผลที่ออกมาคือระดับโปรดักชั่นระดับหนังเอพิกชั้นเยี่ยม ที่โดดเด่นทั้งงานออกแบบงานสร้าง คอสตูมสุดสวย และงานกำกับภาพที่มีทั้งมุมกล้องแปลก ๆ และสื่อความหมายได้ยอดเยี่ยม องค์ประกอบเหล่านี้ยอดเยี่ยมเสมือนหนังเอพิกอิงประวัติศาสตร์แพง ๆ เรื่องหนึ่ง หากแต่พอมีผู้กำกับที่ชื่อ Yorgos Lanthimos หนังเรื่องนี้ดันมีจุดเด่นที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น
เพราะผู้กำกับได้อัดความเป็นตัวเองลงไปชนิดที่ว่าลืมไปได้เลยว่านี่คือหนังโปรดักชั่นแพงทุนสูง เพราะเขายังคงซื่อตรงและใส่ความเป็นตัวเองแบบสุดกู่ แม้ภายนอกจากเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์ แต่นิสัยจิกกัดและสะท้อนสันดานอันดำมืดของมนุษย์ของเขาไม่หายไปไหนเลย
ผู้กำกับคนอื่นอาจตีความเรื่องราวแบบนี้เป็นหนังเอพิกความยาวไม่น้อยกว่าสามชั่วโมงที่ต้องเล่าเรื่องชีวิต การเมือง และฉากสงครามใหญ่
แต่ Yorgos มองว่านี่คือเรื่องราวที่จะเปิดโอกาสได้เล่าความหิวกระหายอำนาจของเหล่าผู้คน ไม่ว่าจะในการทางการเมือง คุณค่าปัจเจกบุคคล และผลประโยชน์โดยที่ไม่สนว่าต้องทำลายชีวิตใครหรือไม่
ทำให้ Mood and Tone ของหนัง ไม่ได้มีความแตกต่างกับหนังเรื่องก่อนของเขาแต่อย่างใด ทั้งความกระอักกระอวนของหลาย ๆ สถานการณ์ ความไม่น่าไว้วางใจที่แฝงอยู่ในทุกฉากตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงฉากเหวอ (-) ในความตลกร้าย (ที่คนดูต้องมาย้อนคิดว่ากูควรจะขำมั้ย)
สิ่งที่เห็นได้ชัดโดยไร้ข้อกังขาอีกต่อไป สำหรับผู้กำกับที่ชื่อ Yorgos Lanthimos คือเป็นผู้กำกับที่นำเสนอด้านมืดและสันดานของมนุษย์ได้น่าสนใจ มีเอกลักษณ์ และน่าอัปลักษณ์ที่สุดคนหนึ่งของวงการ (คำชม) และด้วยเรื่องราวที่ไม่ยากต่อการเข้าใจหากเทียบกับงานก่อนหน้า ทำให้ The Favourite กลายเป็นงานที่ดูง่าย และเหมาะที่สุดในการเป็นบทเรียนเริ่มต้นในการทดสอบตัวเอง หากจะลองดูหนังของเขา
ผ่านการแสดงที่ต้องบอกว่าทั้งสามตัวละครนำแสดงได้ดีทุกคน โดยที่ไม่ได้มีใครเด่นกว่าใคร ต่างคนต่างรับหน้าที่ของตนเองได้ดีที่สุด ซึ่งต้องชมในส่วนของบทภาพยนตร์และการกำกับที่เฉลี่ยความสำคัญทั้งสามตัวละครนำได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็น Rachel Weisz ในบท ซาราห์ เชอร์ชิล Emma Stone ในบท อบิเกล ฮิลล์ และ Olivia Colman ในบทราชินีแอนน์ ซึ่งทั้งสามคนต่างได้ตบเท้าเข้าชิงออสการ์กันหมดทุกคน (โดย Colman เข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิง ส่วน Weisz และ Stone เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิง) ซึ่งอัพเดตล่าสุด Olivia Colman ก็สามารถคว้าออสการ์ตัวแรกในชีวิตไปครองได้สำเร็จ!
โดยเฉพาะรายของ Olivia Colman หนังเรื่องนี้อาจเป็นการประกาศต่อฮอลลีวูดว่ามันอาจถึงเวลาที่เธอจะต้องแจ้งเกิดได้เสียที จากฝีมือการแสดงที่โจษจันมาตั้งแต่ซีรีส์ดราม่าเรื่องเยี่ยมอย่าง Broadchurch (2013 - 2017) แถมยังเธอจะต้องไปรับบทเป็นราชินีอีกครั้งในซีรีส์ราชวงศ์อังกฤษอย่าง The Crown (Season 3) ในบทควีนเอลิซาเบธที่สอง ต่อจาก Claire Foy อีกด้วย
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft