สวัสดีครับ วันนี้เราจะมารีวิวการเที่ยวเชียงคานว่ามีในแต่ละที่ที่เราไปมากันเนี่ย เราไปที่ไหน ทำอะไร แล้วได้เรียนรู้อะไรกันมาบ้าง ซึ่งนี่เป็นทริปที่
ถูกจัดขึ้นมาโดยมีแนวคิด Low-cost High experiences เพื่อมุ่งเน้นในการเก็บประสบการณ์ เรียนรู้วัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น
ในการเดินทางวันแรกของพวกเรา พวกเราเดินทางกันตอนช่วงเวลา 20:00 ของวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ทำให้เราเดินทางถึงเชียงคาน จังหวัดเลยในเวลา 07:00 ของวันที่ 4 ตุลาคม 2568 โดยรถบขส. เมื่อถึงเชียงคานพวกเราก็รีบไปเก็บสัมภาระในที่พักกันก่อน เพื่อความคล่องตัวในการเที่ยวนั่นเอง
แต่ยังไม่ทันถึงที่พัก พวกเราก็เจออุปสรรคเข้าแล้วล่ะครับ เจ้าถิ่นมากกว่า 10 ตัวนอนเฝ้าถิ่นอยู่ข้างหน้า พวกเราไม่มีใครกล้าเดินผ่านเลยครับ แต่โชคดีที่มีคุณป้าขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาเลยช่วยส่งพวกเรา พร้อมทั้งกันเจ้าถิ่นไม่ให้หันมาล่าพวกผม แล้วพวกเราก็ผ่านเจ้าถิ่นมาได้อย่างปลอดภัยจนถึงที่พักครับ ขอบคุณมากครับคุณป้า พวกผมเกือบจะไม่ได้เที่ยวซะแล้ว


พวกเราพักกันที่บ้านไม้หอมเป็นที่พักแบบเหมาห้องหรือเหมาหลัง ซึ่งพวกเราจองเป็นห้อง 1 ห้องที่สามารถอยู่ได้ 6 คน ก็จะมีห้องน้ำ 2 ห้อง แล้วเตียง 5 ฟุตทั้งหมด 3 เตียง ห้องค่อนข้างใหญ่ ไม่อึดอัดเลยครับ แต่ห้องไม่ค่อยเก็บเสียง ถ้าเสียงดังมาก ๆ แนะนำให้จองเป็นเหมาหลังก็จะสะดวกกว่าครับ ใน 1 หลังจะมี 2 ห้องถ้าจองห้องเดียวแบบพวกเราก็จะได้แชร์บ้านกับคนอื่นนะครับ

หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ พวกเราก็พากันมุ่งหน้าไปกินอาหารที่ร้านแม่งาม อิ่มอร่อย ซึ่งเป็นร้านข้าวเปียกเส้นเจ้าดังในเชียงคาน เป็นวัฒนธรรมการกินของเวียดนามและลาว รวมไปถึงหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ข้าวเปียกเส้นมีลักษณะคล้ายก๋วยจั๊บญวน เป็นร้านที่คนในท้องถิ่นแบบพี่เจ้าของที่พักบ้านไม้งามเป็นแนะนำมานั่นเอง จุดเด่นของร้านนี้นอกจากเรื่องข้าวเปียกเส้นแล้วก็ยังมีโจ๊ก หรือข้าวต้มให้เลือกอีกด้วย บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างสดชื่นและปลอดโปร่ง เนื่องจากติดริมแม่น้ำโขง เราสามารถถ่ายรูปเก็บบรรยากาศหรือทิวทัศน์ไว้เป็นที่ระลึกได้

หลังจากกินข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น เราก็ได้ไปที่วัดศรีคุนเมือง เดิมชื่อว่าวัดใหญ่ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะในด้านศิลปะและวัฒนธรรม อุโบสถของวัดศรีคุนเมืองโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ผนังอุโบสถถูกตกแต่งไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นภาพนิทานชาดกชุด พระเจ้าสิบชาติ หลังคามีรูปแบบลดหลั่นลงมาตามแบบศิลปะของล้านนา ซึ่งภายในมีพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิปางนาคปรกที่เป็นศิลปะล้านช้างมีอายุมากกว่า 300 ปี เป็นการผสมผสานศิลปะแบบล้านช้างและล้านนาเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เมื่อเดินเข้าไปในโบสถ์จะพบพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทอง ปางประธานอภัยที่สร้างตามศิลปะล้านช้าง วัดสะอาดและสวยงามมากครับ ค่อนข้างใหญ่และกว้างขวางมาก แต่วันที่เราไปวัดค่อนข้างเงียบ เพราะพวกเราไปตรงช่วงงานเทศกาลแห่ปราสาทผึ้งครับ

เมื่อเราได้ไว้กราบสักการะที่วัดศรีคุนเมืองแล้ว เดินทะลุวัดออกมาพวกเราก็ได้พบกับกิจกรรมที่ทางเชียงคานได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงของวันออกพรรษา นั่นก็คืองานเทศกาลแห่ปราสาทผึ้ง ซึ่งเริ่มแห่ในวันที่ 4 ตุลาคม 2568 วันที่เราไปเป็นวันที่พึ่งเริ่มงานวันแรกเลยครับ คนเยอะมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในวัดไม่มีคนเลย ซึ่งเป็นงานที่จัดร่วมกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในพิธีเปิดก็จะมีนักแสดงใส่ชุดมาฟ้อนรำกันอย่างพร้อมเพียง สวยงามมากเลยครับ แล้วก็จะมีการแห่เทียนที่มีลักษณะคล้ายกับปราสาทมาแกะวลักลวดลายอย่างสวยงาม ซึ่งเทศกาลนี้มีการแข่งขันฟ้อนรำในแต่ละตำบลของอำเภอเชียงคาน เพื่อความสนุกสนานอีกด้วย นอกจากนี้คนในชุมชนก็ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ในการนำน้ำดื่ม กระดาษทิชชู่ หรือน้ำหวานมาตั้งแจก
ที่หน้าบ้านหรือหน้าร้านค้าแจกให้กับผู้คนที่เข้ามาร่วมในงานเทศกาล ซึ่งทำให้พวกเราประทับใจมากเลยครับ
หลังจากที่พวกเราทำการชมงานเทศกาลแห่ปราสาทผึ้งได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง พวกเราก็เริ่มเดินทางไปที่ ร้านยองเส้นแม่ก้อย เป็นร้านนวดแบบวิถีของเมืองเชียงคานคนท้องถิ่น โดยเป็นการนวดแบบเหยียบแล้วใช้ผ้าขาวม้าที่เป็นการสื่อถึงเอกลักษณ์ของคนชาวอีสานในการควบคุมแรงในการเหยียบแบบหนัก เบา กลาง
แม่ก้อยใจดีมาก คุยเก่ง สามารถบอกกับคนนวดได้เลยว่าปวดตรงไหน หรืออยากได้แรงมากแค่ไหน ทุกคนในร้านใจดี พร้อมให้คำแนะนำในเรื่องของสุขภาพ การนวดยองเส้น แม่ก้อยไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้คนในท้องถิ่น แต่ยังสร้างชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกด้วยครับ หลังจากนวดเสร็จก็รู้สึกตัวเบาขึ้นเยอะเลยครับ พร้อมเดินลุยต่อแล้วครับ
หลังจากนวดกันจนตัวเบาแล้วพวกเราก็พากันไปเพิ่มน้ำหนักที่ร้านจุ่มนัวยายพัดกันครับ จุ่มนัวหรือลงสรงเป็นอาหารที่คล้ายกับสุกี้โบราณหรือเย็นตาโฟ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอำเภอเชียงคานเลยครับ โดยเราจะสามารถเลือกเส้นได้คล้ายก๋วยเตี๋ยว มีหมูและผักต่าง ๆ แล้วราดด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและกากหมู รสชาติจะมีความเข้มข้น กลมกล่อม สามารถเติมพริกหรือน้ำส้มสายชูเพื่อเพิ่มรสชาติได้ครับ คล้ายก๋วยเตี๋ยวเลยแต่ตัวน้ำเข้มข้นกว่า หากินได้แค่ที่เชียงคานเท่านั้น ถ้าได้มาที่เชียงคานทั้งที เป็นอาหารที่ไม่ควรพลาดเลยนะครับ

หลังจากหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน พวกเราเลยกลับที่พักไปนอนพักผ่อน แล้วเริ่มไปถนนคนเดินกันตอนช่วง 18:00 ครับ ถนนคนเดินมีของขายเยอะมากครับมีทั้งอาหารท้องถิ่นอย่างกุ้ง ปู หอยแม่น้ำโขงเสียบไม้ ตำด๊องแด๊ง หรือมะพร้าวแก้วที่เป็นของขึ้นชื่อ แล้วยังมีอีกอย่างที่พวกเราอยากลองก็คือ เบียร์ลาวนั่นเองครับ โดยเริ่มแรกเมื่อมาถึงถนนคนเดิน พวกเราก็เปิดประเดิมด้วย กุ้ง ปู หอยเสียบไม้เลยครับ อร่อยมาก แม่ค้าจะราดน้ำจิ้มเผ็ด ๆ มาให้แซ่บมาก โดยตัวปูกับกุ้งเราสามารถทานได้ทั้งเปลือกเลยนะครับ ตัวมันจะเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่มาก สามารถทานได้ 1 ตัวใน 1 คำเลย แม่ค้าใจดีมากให้พวกเราลองปิ้งเองกันด้วยครับ จากนั้นพวกเราก็มุ่งตรงไปที่มะพร้าวแก้ว เพื่อจะซื้อกลับไปเป็นของฝากให้กับคนที่บ้าน ทางร้านเขานำมะพร้าวมากวนกับน้ำเชื่อมให้ดูตรงหน้าร้านเลยครับ หวาน หอม อร่อยมาก โดยมะพร้าวแก้วจะมีหลายเกรด แต่ละเกรดจะแตกต่างกันตรงที่ความแข็ง-ความอ่อนของมะพร้าวครับ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ซึ่งเกรด A จะเป็นเกรดที่มะพร้าวจะนุ่มสุด แล้ว C เป็นเกรดที่มะพร้าวจะแก่ลงมาหน่อยครับ ทางร้านบอกว่าตัวสีของมะพร้าวแก้วแต่ละสีที่ใช้เป็นสีมาจากธรรมชาติ โดยตัวสีขาวจะเป็นสีปกติของมะพร้าวแก้ว สีแดงทำมาจากน้ำหวานเฮลซ์บลูบอย สีน้ำเงินทำมาจากดอกอัญชัน แล้วสีเขียวทำมาจากใบเตย ทาวร้านจะแพ็คเป็นห่อ เหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝากมากครับ พวกเราได้กินตำด๊องแด๊งเป็นครั้งแรกด้วยนะครับ แต่ร้านที่พวกกินเป็นร้านที่เดินไปเจอในถนนคนเดิน ส่วนตัวพวกเราแล้วรู้สึกไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ครับ รสชาติค่อนข้างเปรี้ยวไป แล้วตัวเส้นด๊องแด๊งก็ค่อนข้างมีน้อยครับ อาจจะต้องลองร้านอื่นดูครับ


และแล้วการเที่ยววันแรกของเราก็จบลงแบบอิ่มหนำสำราญกันอย่างเต็มที่เลยครับ แค่วันแรกพวกเราก็ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ หลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเรื่องกิน หรือเรื่องวิถีชีวิตของคนในเชียงคาน ทุกคนในเชียงคานใจดีมากครับ พร้อมให้ความช่วยเหลือรู้สึกประทับใจมากครับ ตั้งตารอสำหรับต่อไปแทบไม่ไหวเลยครับ
Review การเที่ยวในเชียงคาน จังหวัดเลย ตลอด 2 วัน 1 คืน
ถูกจัดขึ้นมาโดยมีแนวคิด Low-cost High experiences เพื่อมุ่งเน้นในการเก็บประสบการณ์ เรียนรู้วัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น
ในการเดินทางวันแรกของพวกเรา พวกเราเดินทางกันตอนช่วงเวลา 20:00 ของวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ทำให้เราเดินทางถึงเชียงคาน จังหวัดเลยในเวลา 07:00 ของวันที่ 4 ตุลาคม 2568 โดยรถบขส. เมื่อถึงเชียงคานพวกเราก็รีบไปเก็บสัมภาระในที่พักกันก่อน เพื่อความคล่องตัวในการเที่ยวนั่นเอง
แต่ยังไม่ทันถึงที่พัก พวกเราก็เจออุปสรรคเข้าแล้วล่ะครับ เจ้าถิ่นมากกว่า 10 ตัวนอนเฝ้าถิ่นอยู่ข้างหน้า พวกเราไม่มีใครกล้าเดินผ่านเลยครับ แต่โชคดีที่มีคุณป้าขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาเลยช่วยส่งพวกเรา พร้อมทั้งกันเจ้าถิ่นไม่ให้หันมาล่าพวกผม แล้วพวกเราก็ผ่านเจ้าถิ่นมาได้อย่างปลอดภัยจนถึงที่พักครับ ขอบคุณมากครับคุณป้า พวกผมเกือบจะไม่ได้เที่ยวซะแล้ว
พวกเราพักกันที่บ้านไม้หอมเป็นที่พักแบบเหมาห้องหรือเหมาหลัง ซึ่งพวกเราจองเป็นห้อง 1 ห้องที่สามารถอยู่ได้ 6 คน ก็จะมีห้องน้ำ 2 ห้อง แล้วเตียง 5 ฟุตทั้งหมด 3 เตียง ห้องค่อนข้างใหญ่ ไม่อึดอัดเลยครับ แต่ห้องไม่ค่อยเก็บเสียง ถ้าเสียงดังมาก ๆ แนะนำให้จองเป็นเหมาหลังก็จะสะดวกกว่าครับ ใน 1 หลังจะมี 2 ห้องถ้าจองห้องเดียวแบบพวกเราก็จะได้แชร์บ้านกับคนอื่นนะครับ
หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ พวกเราก็พากันมุ่งหน้าไปกินอาหารที่ร้านแม่งาม อิ่มอร่อย ซึ่งเป็นร้านข้าวเปียกเส้นเจ้าดังในเชียงคาน เป็นวัฒนธรรมการกินของเวียดนามและลาว รวมไปถึงหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ข้าวเปียกเส้นมีลักษณะคล้ายก๋วยจั๊บญวน เป็นร้านที่คนในท้องถิ่นแบบพี่เจ้าของที่พักบ้านไม้งามเป็นแนะนำมานั่นเอง จุดเด่นของร้านนี้นอกจากเรื่องข้าวเปียกเส้นแล้วก็ยังมีโจ๊ก หรือข้าวต้มให้เลือกอีกด้วย บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างสดชื่นและปลอดโปร่ง เนื่องจากติดริมแม่น้ำโขง เราสามารถถ่ายรูปเก็บบรรยากาศหรือทิวทัศน์ไว้เป็นที่ระลึกได้
หลังจากกินข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น เราก็ได้ไปที่วัดศรีคุนเมือง เดิมชื่อว่าวัดใหญ่ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะในด้านศิลปะและวัฒนธรรม อุโบสถของวัดศรีคุนเมืองโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ผนังอุโบสถถูกตกแต่งไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นภาพนิทานชาดกชุด พระเจ้าสิบชาติ หลังคามีรูปแบบลดหลั่นลงมาตามแบบศิลปะของล้านนา ซึ่งภายในมีพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิปางนาคปรกที่เป็นศิลปะล้านช้างมีอายุมากกว่า 300 ปี เป็นการผสมผสานศิลปะแบบล้านช้างและล้านนาเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เมื่อเดินเข้าไปในโบสถ์จะพบพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทอง ปางประธานอภัยที่สร้างตามศิลปะล้านช้าง วัดสะอาดและสวยงามมากครับ ค่อนข้างใหญ่และกว้างขวางมาก แต่วันที่เราไปวัดค่อนข้างเงียบ เพราะพวกเราไปตรงช่วงงานเทศกาลแห่ปราสาทผึ้งครับ
เมื่อเราได้ไว้กราบสักการะที่วัดศรีคุนเมืองแล้ว เดินทะลุวัดออกมาพวกเราก็ได้พบกับกิจกรรมที่ทางเชียงคานได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงของวันออกพรรษา นั่นก็คืองานเทศกาลแห่ปราสาทผึ้ง ซึ่งเริ่มแห่ในวันที่ 4 ตุลาคม 2568 วันที่เราไปเป็นวันที่พึ่งเริ่มงานวันแรกเลยครับ คนเยอะมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในวัดไม่มีคนเลย ซึ่งเป็นงานที่จัดร่วมกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในพิธีเปิดก็จะมีนักแสดงใส่ชุดมาฟ้อนรำกันอย่างพร้อมเพียง สวยงามมากเลยครับ แล้วก็จะมีการแห่เทียนที่มีลักษณะคล้ายกับปราสาทมาแกะวลักลวดลายอย่างสวยงาม ซึ่งเทศกาลนี้มีการแข่งขันฟ้อนรำในแต่ละตำบลของอำเภอเชียงคาน เพื่อความสนุกสนานอีกด้วย นอกจากนี้คนในชุมชนก็ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ในการนำน้ำดื่ม กระดาษทิชชู่ หรือน้ำหวานมาตั้งแจก
ที่หน้าบ้านหรือหน้าร้านค้าแจกให้กับผู้คนที่เข้ามาร่วมในงานเทศกาล ซึ่งทำให้พวกเราประทับใจมากเลยครับ
หลังจากที่พวกเราทำการชมงานเทศกาลแห่ปราสาทผึ้งได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง พวกเราก็เริ่มเดินทางไปที่ ร้านยองเส้นแม่ก้อย เป็นร้านนวดแบบวิถีของเมืองเชียงคานคนท้องถิ่น โดยเป็นการนวดแบบเหยียบแล้วใช้ผ้าขาวม้าที่เป็นการสื่อถึงเอกลักษณ์ของคนชาวอีสานในการควบคุมแรงในการเหยียบแบบหนัก เบา กลาง แม่ก้อยใจดีมาก คุยเก่ง สามารถบอกกับคนนวดได้เลยว่าปวดตรงไหน หรืออยากได้แรงมากแค่ไหน ทุกคนในร้านใจดี พร้อมให้คำแนะนำในเรื่องของสุขภาพ การนวดยองเส้น แม่ก้อยไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้คนในท้องถิ่น แต่ยังสร้างชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกด้วยครับ หลังจากนวดเสร็จก็รู้สึกตัวเบาขึ้นเยอะเลยครับ พร้อมเดินลุยต่อแล้วครับ