การตลาดที่ไม่ค่อยเวิร์ก

สวัสดีครับ Silver Gaze ครับ

วันนี้เรามากันกับหัวข้อการตลาด เพราะหลังจากที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองใหญ่สักพัก ผมก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองใช้เงินเยอะขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะความง่ายของการเข้าถึงสิ่งต่างๆ ของเมืองใหญ่นี่แหละ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่ง ก็น่าจะเป็นผลมาจากการตลาดที่สุดแสนจะล่อตาล่อใจ จนเราอดไม่ได้แม้เราจะไม่ได้ต้องการสินค้าเหล่านั้นก็ตาม

แต่ท่ามกลางการตลาดที่น่าสนใจ มันก็จะมีการตลาดบางส่วนที่ผมมองว่ามันไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ ซึ่งในวันนี้ผมจะนำการตลาดที่ผมคิดว่าไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ 3 อันดับแรก มาเหล่าให้ฟังกันครับ

อันดับที่ 3 : 3 แถม 3

3 แถม 3 นี่บอกตรงๆ เลยครับว่ามันเป็นการตลาดที่ผมมองว่าไกลตัวมากจนเกินไป คือถ้า 1 แถม 1 คือการตลาดที่ดูโอเคมากที่สุด 2 แถม 2 ก็จะออกไปในทางฝืนๆ แล้วครับ แบบ ‘กูจะเอาไอนี่ไปทำไมตั้ง 4 อัน’ เพราะถึงแม้บางอย่างมันจะเปลี่ยนรสชาติได้เล็กน้อย แต่กล่าวโดยสรุปแล้ว มันก็คือของ 4 ชิ้นที่มีความคล้ายกันอยู่ดี 

ในขณะที่ 3 แถม 3 เนี่ย ยิ้มคือ 6 ชิ้นเลยครับ

ของ 6 ชิ้นที่ถ้าคุณไม่ได้เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่มีความรักต่อตัวสินค้ามาก การตลาดแบบ 3 แถม 3 ก็แทบจะเป็นเหมือนสิ่งที่ไร้ตัวตนแบบสุดๆ ในชีวิตคุณ เพราะถึงจะตัดความน่าเบื่อของตัวสินค้าออกไป การต้องมาคำนึงเรื่องการหมดอายุของตัวสินค้าก็เป็นอะไรที่ยิ่งทำให้เรารู้สึกยุ่งยากเข้าไปใหญ่ การตลาดแบบ 3 แถม 3 จึงได้อันดับ 3 ของการตลาดที่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่สำหรับผมไปครับ

อันดับที่ 2 : ราคาสมาชิก
ราคาสมาชิกนี่เป็นอะไรที่ผมไม่รู้จะโกรธหรือจะรู้สึกกับมันยังไงดี เพราะจริงๆ แล้วมันก็ไม่ผิดนะครับกับการที่ร้านค้าต่างๆ จะให้สิทธิพิเศษกับการสมัครเป็นสมาชิกของทางร้าน เพราะมันเป็นเหมือนส่วนช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าคนนั้นๆ กลับมาใช้งานบริการของทางร้านบ่อยขึ้น 

แต่ถ้าจะโปรโมตสินค้าที่เป็นราคาสมาชิก ขอความกรุณาชยายคำว่า ‘ราคาสมาชิก’ ให้มันใหญ่ๆ หน่อยเถอะครับ

คือ โอเคแหละครับ มันมีลูกค้าที่มาถึงที่แล้วจะไม่กินก็กระไรอยู่ ราคาสมาชิก ก็ราคาสมาชิก แต่แบบ เราจะหากินกับอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอครับ เราจะหากินกับการให้ลูกค้าเดินมาทำหน้าผิดหวังอยู่หน้าร้าน เพราะเราโปรโมตไปแบบสุดตัวว่านี่นะราคาเท่านี้นะ แต่พอมาถึงเราก็ต้องชี้ให้ลูกค้าดูบรรทัดเล็กๆ ที่เขียนไว้ว่า ‘ราคาสมาชิก’ จริงๆ เหรอ 

ส่วนตัวผมเลยคิดว่าราคาสมาชิกเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวอยู่พอสมควร เพราะงั้นเอาอันดับ 2 ไปละกัน

อันดับที่ 1 : ….99+

สำหรับผม ….99++ นี่เป็นการตลาดที่น่าปวดหัวพอๆ กับราคาสมาชิกเลยครับ เพราะการตลาดประเภท 99++ เนี่ย เขามักจะเคลมเลยครับ ว่าจ่ายเท่านี้ กินไปเลยเต็มที่ กินไปเลยทั้งร้าน แต่พอเอาเข้าจริง ราคาที่เราต้องจ่ายก็คือ ….99++ บวกกับ Vat 7% บวกกับ Service Charge 10% หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งราคาที่บวกขึ้นมามันก็ไม่ได้เยอะหรืออะไรหรอกครับ แต่ราคาที่มันบวกขึ้นมา มันน่าหงุดหงิดเว้ย

คือแบบ โปรโมต กำเงินมาเลย 3 ใบแดงมีทอน แต่พอเอาเข้าจริง 352 บาท จ้า มันน่าหงุดหงิดเว้ย

คิดภาพมีสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีด้านที่อ่อนโยนเดินมาบอกว่าชอบคุณ แล้วเธอพูดต่อว่า ‘แต่..’ สิครับ อารมณ์เวลาผมเจอร้านที่โปรโมตว่า 299 จ้า แล้วต้องจ่ายจริง 352 ยิ้มคืออารมณ์ที่น่าหงุดหงิดประมาณนั้นเลย

แบบ เราพร้อมจะพุ่งสุดตัวแล้ว เตรียมซื้อเครื่องปิ้งขวดนมมาลองใช้แล้ว เธอจะมาแต่อะไรอีก 

แบบ เราเลื่อนผ่านเพจ FB หลายเพจมากๆ จนเราโอเคกับร้านกับราคาแล้ว แต่พอตัดสินใจแล้วปุ้บ เอาร้านนี้แหละปุ้บ ยิ้มแบบ ‘อ้าว ราคามันไม่ใช่แบบที่เราคิดนี่หว่า’ 

คือถ้ามองฝั่งลูกค้า ผมว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะแบ่งราคาของบริการต่างๆ ออกเป็นโซนครับ ประมาณว่า วันนี้เราจะกินไม่เกิน 300 นะ วันนี้เราจะซื้อของไม่เกิน 500 นะ อะไรประมาณนี้ ซึ่งหลังจากนั้นเราก็จะเริ่มหาว่าแล้วเราจะใช้เงินในจำนวนดังกล่าวไปกับอะไรให้คุ้มที่สุด การที่เราเข้าใจว่าสินค้ามันราคา 299 ซึ่งไม่เกินงบเรา แต่พอเอาเข้าจริงมันราคา 352 ซึ่งเกินงบเรา มันเลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราหงุดหงิด 

เพราะในมุมเรา มันคือการที่เราวางแผนมาอย่างดีว่าเราจะใช้เงินไม่เกินนี้ แต่พอเอาเข้าจริงเรากลับทำตามแผนที่วางไว้ไม่ได้ แถมไอสิ่งที่เราทำตามแผนไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเราเสียด้วย

การตลาดแบบ ….99++ จริงได้อันดับที่ 1 ของการตลาดที่ไม่ค่อยเวิร์กสำหรับผมไปนั่นเอง

แล้วสำหรับเพื่อนๆ ล่ะครับ การตลาดแบบไหนถือเป็นการตลาดที่แปลกๆ และไม่ค่อยเวิร์กสำหรับคุณ แชร์มาให้ผมฟังหน่อย โดยเฉพาะอันที่แปลกๆ ตลกๆ แบบไม่ค่อยมีคนเจอล่ะน่ะ
 
หวังว่าจะได้พบกันอีก
Silver Gaze

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่