สรุปเรื่อง “แรร์เอิร์ท” ไทยได้-เสียอะไร จากอุตสาหกรรมนี้บ้าง ? โพสต์เดียวจบ /โดย ลงทุนแมน

หนึ่งในประเด็นร้อนช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นการที่ไทยลงนามกับสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือกันเรื่องแรร์เอิร์ท

แต่สิ่งที่หลายคนยังตั้งคำถามก็คือ แล้วเรื่องนี้ไทยจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ แล้วมีข้อเสียอะไรตามมาอีกบ้าง

ไทยจะได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

https://www.facebook.com/share/p/1F5qMoQnkv/?mibextid=wwXIfr


ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า อุตสาหกรรมแร่หายากหรือแรร์เอิร์ททำงานกัน 3 ห่วงโซ่ด้วยกัน

- ต้นน้ำ ทำเหมืองแร่ (Mining)
- กลางน้ำ แปรรูปและสกัดแร่ออกมา (Refining)
- ปลายน้ำ ผลิตเป็นแม่เหล็กที่พร้อมไปใช้งานต่อ (Magnet Manufacturing)

ดังนั้น ถ้าไทยอยากเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่นี้ คำตอบก็ตรงไปตรงมาว่า เราก็ต้องเป็นหนึ่งในผู้เล่นต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ

และคำถามที่ตามมา ก็คงมีอย่างน้อย 2 เรื่องด้วยกัน นั่นคือ โอกาสที่ไทยพร้อมขอส่วนแบ่งในห่วงโซ่นี้มีมากแค่ไหน และต้นทุนที่เราต้องแลก มีอะไรบ้าง

เริ่มกันที่ ธุรกิจต้นน้ำ หรือ Mining

ปัจจุบัน ต้นน้ำอย่างการทำเหมืองแร่ มีจีนครองส่วนแบ่งการผลิตอยู่ 60% ส่วนที่เหลือก็กระจัดกระจายไปที่อื่น เช่น เมียนมา ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ

อ่านแค่นี้ เราคงสะดุดตากับเมียนมา ว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในผู้เล่นของการทำเหมืองแร่หายาก

เรื่องนี้มาจากการที่จีนเริ่มทำเหมืองแร่หายากในประเทศมาตั้งแต่ปี 1970 แต่ด้วยกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้จีนเริ่มมองหาแหล่งขุดแร่นอกประเทศ

เพราะในเมื่อความต้องการแร่นี้ยังสูง สวนทางกับการผลิตแร่ที่หยุดชะงักลงในประเทศ สุดท้ายจึงมาลงที่เมียนมา แหล่งผลิตแร่ใหม่ของจีนแทน

แม้เมียนมาจะเกาะขบวนห่วงโซ่แร่หายากได้ แต่ทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาแบบฟรี ๆ..

สิ่งที่เมียนมาต้องแลกตามมา นั่นคือ ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ จนคนในพื้นที่เริ่มได้รับความเดือดร้อน

ซึ่งไม่ใช่แค่คนในเมียนมาที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพราะยังส่งต่อมาให้กับคนไทยในเชียงราย ที่ใช้แม่น้ำสายเดียวกันกับเมียนมาด้วย

แม้แต่สหรัฐฯ ที่เคยทำเหมืองแร่หายากมาตั้งแต่ปี 1949 หรือก่อนจีนเริ่มทำเสียอีก ก็เจอปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จนเหมืองต้องปิดตัวลง แล้วย้ายฐานการผลิตไปที่จีนแทน

ดังนั้น ถ้าเราอยากมีธุรกิจต้นน้ำอย่างเหมืองแร่หายากในประเทศ แม้จะได้ประโยชน์จากการขายแร่หายาก แต่มีต้นทุนที่ต้องแลกไปอย่างเรื่องสิ่งแวดล้อมแทน

แล้วถ้าไม่เลือกต้นน้ำ แต่เลือกเกาะธุรกิจกลางน้ำแบบ การแปรรูปแร่หายากแทน ไทยจะมีโอกาสไหม ?

คำตอบก็คือ ยากยิ่งกว่าการทำเหมืองเสียอีก..

เพราะปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่ครองส่วนแบ่งการผลิตในตลาดแปรรูปแร่หายากนี้ถึง 91% หรือพูดง่าย ๆ คือ แทบเสมือนผูกขาดตลาดนี้ไปแล้ว

การเข้าไปชิงส่วนแบ่งตลาดตรงนี้ จึงทำได้ไม่ง่ายเลย
ด้วยการที่จีนครองตลาดนี้มานาน จากการเติบโตของเหมืองแร่หายากมาตั้งแต่ปี 1970

ในช่วงนั้น จีนเริ่มกดราคาแร่ให้ต่ำลงจนคู่แข่งอื่นเริ่มล้มหายจากไป ก่อนที่จะหันมาสร้างอุตสาหกรรมกลางน้ำอย่างการแปรรูปแร่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สุดท้าย เลยกลายเป็นว่าจีนครองตลาดแปรรูปแร่นี้ไปด้วย จนประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่จำเป็นต้องพึ่งพาไปเลยทันที

นอกจากการที่จีนครองตลาดมานานแล้ว เทคโนโลยีการแปรรูปแร่หายาก ก็ไม่ใช่ทำกันได้ง่าย ๆ

เพราะแม้ได้ชื่อว่าแร่หายาก แต่ก็พบได้ทั่วไปแทรกปะปนอยู่กับแร่อื่น ๆ ทำให้ความยากยิ่งกว่าคือ จะทำอย่างไรให้ถลุงแร่หายากแยกออกมาพร้อมใช้งานมากขึ้น

ธุรกิจกลางน้ำจึงต้องอาศัยความรู้และความเชี่ยวชาญในการแปรรูปแร่หายากมานานมากพอ ซึ่งไทยก็อาจไม่ได้มีอะไรแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว

และเช่นเดียวกับธุรกิจต้นน้ำ ที่ไม่ได้อะไรมาแบบฟรี ๆ เพราะธุรกิจกลางน้ำเอง ก็อาจมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมตามมาด้วย

ตัวอย่างที่ชัดเจนเลยคือ บริษัทเหมืองแร่ Lynas Rare Earths ของออสเตรเลีย ที่เข้าไปตั้งโรงงานแปรรูปแร่หายากในมาเลเซีย เคยโดนประท้วงเรื่องสิ่งแวดล้อมมาแล้ว

ปัญหาที่ว่านี้คือ การกำจัดกากกัมมันตรังสี ซึ่งเกิดจากการนำเข้าแร่จากออสเตรเลียมาแปรรูป จนต้องถูกกดดันให้ย้ายกากกัมมันตรังสีออกไปนอกประเทศแทน

ดังนั้น ถ้าไทยอยากกระโดดเข้าไปเล่นในธุรกิจกลางน้ำ
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามตามมาคือ เทคโนโลยีในประเทศพร้อมแค่ไหน และรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไรดี

ถ้าไม่ใช่ต้นน้ำ หรือกลางน้ำ แล้วธุรกิจปลายน้ำ อย่างการผลิตแม่เหล็กที่พร้อมนำไปใช้งานต่อ น่าสนใจแค่ไหน ?

ต้องบอกว่า ธุรกิจปลายน้ำแร่หายาก จีนยิ่งเสมือนผูกขาดหนักกว่าธุรกิจกลางน้ำเสียอีก เพราะปัจจุบัน จีนครองส่วนแบ่งการผลิตในตลาดนี้ถึง 94%

ทำให้จีนสามารถคุมซัปพลายเชนการผลิตสินค้าอื่น ๆ ได้สูง ไล่ตั้งแต่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องบินรบ ไปจนถึงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ AI ในตอนนี้

พอเป็นแบบนี้ ก็แปลว่า ไทยก็ต้องชิงส่วนแบ่งการผลิตอีก 6% ที่เหลือนอกจากจีน ถ้าอยากหวังเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตแร่หายากที่สำคัญของโลก

แต่อีก 6% ที่เหลือตอนนี้ สหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ก็หันมาแย่งชิง เพื่อลดความเสี่ยงของการพึ่งพาจีนในแร่หายากที่พร้อมใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในอนาคต

ตัวอย่างเช่น บริษัท MP Materials ของสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันต้องการทำธุรกิจแร่หายากครบวงจร เริ่มตั้งแต่การทำเหมือง แปรรูป ไปจนถึงผลิตแม่เหล็กพร้อมใช้งานต่อไป

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าไทยจะตกขบวนธุรกิจปลายน้ำแร่หายากไปเลย เพราะปัจจุบัน ก็มีบริษัทจากแคนาดาอย่าง Neo Performance Materials เข้ามาตั้งโรงงานในไทย

โรงงานนี้อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตแม่เหล็กจากวัสดุแร่หายากอย่างนีโอดิเมียม ที่นำไปผลิตเป็นมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า

ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ไทยกลายเป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิต
แร่หายากของโลก ก็อาจมาจากการมีโรงงานปลายน้ำอย่าง Neo Performance Materials ก็เป็นได้

สรุปแล้ว ถ้าถามว่าไทยจะได้อะไรจากอุตสาหกรรมแร่หายากหรือแรร์เอิร์ทบ้าง ก็ต้องไปดูว่าเราเลือกจะเกาะขบวนห่วงโซ่ต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ

แต่ละช่วงก็จะมีต้นทุนที่ต่างกันออกไป โดยเฉพาะธุรกิจต้นน้ำอย่างเหมืองแร่ และกลางน้ำอย่างการแปรรูปแร่ ก็อาจแลกมาด้วยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ต้องควบคุมให้ได้

หรืออีกอย่างก็คือ เราอาจเลือกตกขบวนแร่หายากนี้ไปแทน แล้วเลือกทุ่มทรัพยากรไปกับสิ่งอื่น เลือกไปเกาะขบวนอื่น ที่นำประเทศให้เติบโตไปกับเทรนด์โลกอย่าง AI ก็ได้เช่นกัน

เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน ที่ AI ยังต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาล แถมยังต้องเป็นพลังงานสะอาดด้วย เราก็สามารถไปได้ในเส้นทางนี้

ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็คงกลับมาแค่คำถามเดียวว่า แล้วไทย
จะเป็นผู้เล่นแบบไหนในเศรษฐกิจโลก ที่จะดึงเงินเข้าประเทศให้เติบโตไปข้างหน้าได้จริง ๆ..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่