ภาพลวงตาเศรษฐกิจ ส่งออกพุ่ง แต่คนไทยยังจน เหตุรายได้ไม่ไหลสู่ประชาชน

KEY POINTS
ตัวเลขส่งออกที่พุ่งสูงเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะส่วนใหญ่มาจากการส่งออกทองคำและอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำ ทำให้รายได้ไม่กระจายสู่ประชาชนส่วนใหญ่

เศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะภาคเกษตรซึ่งเป็นรายได้หลักของคนจำนวนมาก กำลังทรุดหนัก สวนทางกับตัวเลขส่งออกโดยรวม โดยมูลค่าส่งออกข้าวและผลไม้ลดลงอย่างมาก

เกิดสภาวะการเติบโตที่ไม่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในประเทศ (Decoupled Growth) ที่ผลประโยชน์กระจุกตัวในบริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่ประชาชนยังเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและกำลังซื้อต่ำ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand อดีตรัฐมนตรีและส.ส.6 สมัยพรรคประชาธิปัตย์ออกมาเปิดเผยบทวิเคราะห์ที่น่าตกใจถึงภาวะเศรษฐกิจไทย โดยเตือนว่า ตัวเลขส่งออกเดือนกันยายน 2568 ที่พุ่งสูงถึง 19.0% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 42 เดือนนั้น เป็นเพียง "ภาพลวงตา"

“การเติบโตทางสถิติไม่สำคัญเท่ากับ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ประชาชนสัมผัสได้  ถึงเวลาที่ต้องทบทวนว่า เรากำลังสร้าง "เศรษฐกิจตัวเลข" หรือ "เศรษฐกิจชีวิตจริง" ของประชาชน”

ทั้งนี้การเติบโตของส่งออกเกือบทั้งหมด ถูกขับเคลื่อนโดยสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะ 2 กลุ่มหลัก

1. ทองคำ : การส่งออกทองคำมีการขยายตัวสูงถึง 212.6% ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันตัวเลขรวม แต่ทองคำไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่แท้จริงส่วนใหญ่ เป็นการนำเข้าเพื่อส่งออกหรือทางผ่านการส่งออก(re-export)

2.อิเล็กทรอนิกส์ : แม้สินค้ากลุ่มนี้จะมีการส่งออกสูง เช่น คอมพิวเตอร์ 57%แต่โครงสร้างการผลิตยังคงเป็นการประกอบ(Assembly)ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนจากต่างประเทศ

หากวิเคราะห์ลึกลงไปจะพบว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยคิดเป็นประมาณ 27% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดซึ่งการส่งออกที่เติบโต 23% มีมูลค่าเพิ่มในประเทศประมาณ1ใน5ส่วน( 18-22%) เท่านั้น ส่วนกลุ่มทองคำที่ส่งออกพุ่ง 47% มีมูลค่าเพิ่มในประเทศเพียง 3-5% สำหรับทองคำแท่ง

"ความจริงคือ ถ้าตัดมูลค่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และทองคำออกไป อัตราการเติบโตของการส่งออกไทยในเดือน ก.ย. 2568 จะเหลือเพียง 4.9% เท่านั้น" นายอลงกรณ์ระบุ โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย "ส่วนต่าง 14.1% คือตัวเลขที่บวมและไม่ได้กระจายผลประโยชน์ไปสู่คนส่วนใหญ่"

นายอลงกรณ์ ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯและทำหน้าที่ ประธานคณะกรรมการบริหารและพัฒนาผลไม้แห่งชาติ (Fruit Board) กล่าวต่ออีกว่า ตัวเลขที่สะท้อนความเจ็บปวดของเศรษฐกิจฐานรากคือ ภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานรายได้ของประชากรส่วนใหญ่ทรุดหนักจากการส่งออกพืชเศรษฐกิจหลักเช่นมูลค่าส่งออกข้าว ลดลงถึง 31%และมูลค่าส่งออกผลไม้ ลดลงถึง 50%

สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก โดยเฉพาะการกลับมาของอินเดียในตลาดข้าว และการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดจีน ซึ่งส่งผลให้ราคาตกต่ำ และ กระทบรายได้เกษตรกรโดยตรง

ยิ่งกว่านั้นภาคครัวเรือนยังคงแบกรับภาระหนี้ครัวเรือนทำให้ประชาชนไม่มีกำลังซื้อฉุดรั้งการบริโภคภายในประเทศให้ซบเซา รวมทั้งอัตราดอกเบี้ย MRR เฉลี่ยที่สูงกว่า 6.9% เป็นภาระโดยตรงต่อทั้งครัวเรือนและ SMEs ที่ต้องกู้เงิน ทำให้ต้องนำรายได้ไปจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นแทนที่จะใช้จ่ายหรือลงทุน ส่งผลให้การบริโภคในประเทศ (Consumption) ที่เป็นองค์ประกอบใหญ่ของ GDP ยังคงอ่อนแอโดยธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงที่ 90.9% ของจีดีพี ในเดือนกันยายน 2568 ขณะที่สมาคมธนาคารไทยเผยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีหนี้เสียสูงถึง 6.8% เทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหนี้เสียเพียง 2.1%

ตัวเลขส่งออกกับการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่โตต่ำเพียง 1.5% ในไตรมาสที่ 3ของปีนี้และปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ใช่ความขัดแย้งของตัวเลข แต่เป็น "อาการป่วย" ของเศรษฐกิจไทยและเป็นสัญญาณของวิกฤตเชิงโครงสร้างที่เรียกว่า "การเติบโตที่ขาดการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ" (Decoupled Growth) ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการเติบโตแบบ K-Shaped Recovery ที่บริษัทใหญ่เติบโตร่ำรวยแต่คนส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

การแก้ปัญหาวิกฤต "การเติบโตที่ไม่ทั่วถึง" นี้ รัฐบาลต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการเน้น "ปริมาณ" ไปสู่ "คุณภาพ" และมุ่งเน้นการสร้าง DVA สูง ในทุกห่วงโซ่อุปทานจึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน

1. ยกระดับผลิตภาพ(Productivity)ภาคเกษตร สู่สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง
โดยสนับสนุนเทคโนโลยีเกษตร (Agri-Tech)เกษตรอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์( Smart & AI Farming )และเกษตรแปลงใหญ่(Big Farm)พัฒนาระบบประกันรายได้เกษตรกรจัดตั้งกองทุนเกษตรกรเพื่อการลงทุน การพัฒนาระบบโลจิสติกส์และเก็บรักษาผลผลิต การแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์การสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรรวมทั้งยกระดับการตลาดและช่องทางการจำหน่ายโดยสร้างเครือข่ายตลาดกลางสินค้าเกษตรออนไลน์และแพลตฟอร์มการค้าสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศ

2. เปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมส่งออกหลักของเรายังคงเป็น การประกอบ (Assembly) ไม่ใช่ การสร้าง (Manufacturing) ที่แท้จริง เราเป็นเพียงจุดสุดท้ายในห่วงโซ่การผลิต (global value chain)แทนที่จะเป็นจุดเริ่มต้น รายได้จากการส่งออกกระจุกตัวในกลุ่มบริษัทข้ามชาติและบริษัทใหญ่ ขณะที่แรงงานไทยได้เพียงค่าจ้างขั้นต่ำ

เราต้องปรับเปลี่ยนจากการประกอบเป็นโรงงานประกอบ(OEM: Origianl Equipment Manufacturer)อัพเกรดเป็นODM (Original Design Manufactuere)มีดีไซน์สร้างมูลค่าเพิ่มและ OBM (Original Brand Manufacturer)สร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ด้วยโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)บนฐานทรัพย์สินทางปัญญา(Intellectual Property)ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีได้วางรากฐานไว้สู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ (DVAหัวเราะomestic Value Added)

3. เร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน มาตรการแก้หนี้ต้องมาพร้อมกับการ เพิ่มทักษะและโอกาสในการสร้างรายได้ ให้กับลูกหนี้ฐานราก เพื่อให้สามารถออกจากวงจรหนี้และกลับมาเป็นพลังขับเคลื่อนการบริโภคภายในประเทศได้อย่างยั่งยืน

4.ยกเครื่องโมเดลการส่งออกแบบดั้งเดิมใน”ระบบผู้นำเข้า-ผู้ส่งออก“(Importer-Exporter model)สู่โมเดลใหม่คือแพลตฟอร์มการค้าดิจิตอลข้ามพรมแดนซึ่งจะเพิ่มการส่งออกสินค้าเอสเอ็มอี.(SME)และสินค้าเกษตรสินค้าชุมชนรวมทั้งการท่องเที่ยวได้แบบก้าวกระโดดสามารถกระจายรายได้ถึงเศรษฐกิจฐานรากในประเทศได้อย่างทั่วถึง(Inclusive distribution)

นายอลงกรณ์อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์สรุปว่า
ที่ผ่านมาการผลิตและส่งออกของประเทศไทยเป็นเพียง "จุดผ่าน" ของเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ ผลที่ตามมาคือรายได้จริงของประชาชนไม่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของการส่งออก

”ตราบใดที่การเติบโต 19% ยังคงเป็นกำไรที่กระจุกตัว ประเทศไทยก็จะยังคงติดกับดัก ”ส่งออกรุ่ง แต่ GDP ร่วง“อย่างนี้ต่อไปถ้าไม่เร่งปฏิรูปโครงสร้างและระบบภาคเกษตร อุตสาหกรรมและพาณิชย์แบบครบวงจร

นี่คือเหตุผลว่าทำไมตัวเลขการเติบโตของการส่งออกจึงไม่สะท้อนถึงความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและเศรษฐกิจในประเทศอย่างแท้จริง“


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่