ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2025 นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ (Vanderbilt University Medical Center) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาภายใต้โครงการ Personalized Prevention of Colorectal Cancer Trial (PPCCT) ซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยอาศัยกลไกทางโภชนาการและจุลชีพในร่างกาย ผลการศึกษานี้เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับบทบาทของ “แมกนีเซียม” ในการส่งเสริมสุขภาพของลำไส้และการป้องกันการเกิดมะเร็ง
การเสริมแมกนีเซียมช่วยเพิ่มจุลชีพที่เป็นประโยชน์
นักวิจัยพบว่าการรับประทานแมกนีเซียมเสริมสามารถเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่มีประโยชน์สองชนิดในลำไส้ ได้แก่
Carnobacterium maltaromaticum
Faecalibacterium prausnitzii
จุลชีพทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของสภาวะแวดล้อมในลำไส้และมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
วิตามินดีที่สร้างขึ้นในลำไส้ใหญ่ เกราะป้องกันมะเร็งรูปแบบใหม่
หนึ่งในข้อค้นพบที่สำคัญของการศึกษานี้คือ แบคทีเรียที่เพิ่มขึ้นจากการเสริมแมกนีเซียมสามารถ “สังเคราะห์วิตามินดี” ภายในลำไส้ใหญ่ได้โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากวิตามินดีที่ร่างกายสร้างจากแสงแดดหรือได้รับจากอาหาร วิตามินดีที่ผลิตโดยจุลชีพเหล่านี้จะออกฤทธิ์เฉพาะที่ภายในลำไส้ เพื่อยับยั้งการก่อมะเร็ง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่กระแสเลือด
กลไกการป้องกันมะเร็งผ่านตัวรับวิตามินดี
วิตามินดีที่จุลชีพสร้างขึ้นจะกระตุ้นการทำงานของ ตัวรับวิตามินดี (Vitamin D Receptor: VDR) ในเซลล์เยื่อบุลำไส้ ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง
ผลลัพธ์แตกต่างระหว่างเพศชายและหญิง
งานวิจัยยังพบว่าผลของการเสริมแมกนีเซียมมีความชัดเจนมากกว่าในเพศหญิง โดยนักวิจัยเชื่อว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทในการช่วยให้เซลล์ดูดซึมแมกนีเซียมได้ดีขึ้น ส่งผลให้กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับจุลชีพและวิตามินดีมีประสิทธิภาพมากกว่าในเพศชาย
แมกนีเซียมสามารถได้รับจากอาหารประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการเสริมในรูปแบบผลิตภัณฑ์ หากรับประทานอาหารครบหมู่และหลากหลาย
1. ธัญพืชเต็มเมล็ด
เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลีเต็มเมล็ด และควินัว ซึ่งอุดมไปด้วยแมกนีเซียมและใยอาหารที่ช่วยบำรุงจุลชีพในลำไส้
2. ถั่วและเมล็ดพืช
อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และงาดำ ล้วนให้แมกนีเซียมสูง โดยถั่ว 1 กำมือ (ประมาณ 30 กรัม) สามารถให้ได้ถึง 15–25% ของความต้องการต่อวัน
3. ผักใบเขียวเข้ม
เช่น ผักโขม คะน้า บร็อกโคลี และปวยเล้ง ซึ่งมีคลอโรฟิลล์เป็นแหล่งของแมกนีเซียมธรรมชาติ
4. ปลาและอาหารทะเล
โดยเฉพาะปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน
5. อาหารอื่น ๆ
เช่น ดาร์กช็อกโกแลต (โกโก้ ≥70%) อะโวคาโด กล้วย เต้าหู้ และโยเกิร์ต
🌷สรุปข่าว🌷
ผลการศึกษาจากโครงการ PPCCT แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้แนวทาง โภชนาการเฉพาะบุคคล (personalized nutrition) ในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ การเสริมแมกนีเซียมอาจมีประโยชน์มากกว่าการเป็นเพียงแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลจุลชีพในลำไส้ เพิ่มการสร้างวิตามินดีเฉพาะที่ และกระตุ้นกลไกป้องกันมะเร็งในระดับเซลล์
CR
https://www.facebook.com/share/1AH1KU7chw/?mibextid=wwXIfr
บทบาทของ “แมกนีเซียม” ในการส่งเสริมสุขภาพของลำไส้และการป้องกันการเกิดมะเร็ง
การเสริมแมกนีเซียมช่วยเพิ่มจุลชีพที่เป็นประโยชน์
นักวิจัยพบว่าการรับประทานแมกนีเซียมเสริมสามารถเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่มีประโยชน์สองชนิดในลำไส้ ได้แก่
Carnobacterium maltaromaticum
Faecalibacterium prausnitzii
จุลชีพทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของสภาวะแวดล้อมในลำไส้และมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
วิตามินดีที่สร้างขึ้นในลำไส้ใหญ่ เกราะป้องกันมะเร็งรูปแบบใหม่
หนึ่งในข้อค้นพบที่สำคัญของการศึกษานี้คือ แบคทีเรียที่เพิ่มขึ้นจากการเสริมแมกนีเซียมสามารถ “สังเคราะห์วิตามินดี” ภายในลำไส้ใหญ่ได้โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากวิตามินดีที่ร่างกายสร้างจากแสงแดดหรือได้รับจากอาหาร วิตามินดีที่ผลิตโดยจุลชีพเหล่านี้จะออกฤทธิ์เฉพาะที่ภายในลำไส้ เพื่อยับยั้งการก่อมะเร็ง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่กระแสเลือด
กลไกการป้องกันมะเร็งผ่านตัวรับวิตามินดี
วิตามินดีที่จุลชีพสร้างขึ้นจะกระตุ้นการทำงานของ ตัวรับวิตามินดี (Vitamin D Receptor: VDR) ในเซลล์เยื่อบุลำไส้ ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง
ผลลัพธ์แตกต่างระหว่างเพศชายและหญิง
งานวิจัยยังพบว่าผลของการเสริมแมกนีเซียมมีความชัดเจนมากกว่าในเพศหญิง โดยนักวิจัยเชื่อว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทในการช่วยให้เซลล์ดูดซึมแมกนีเซียมได้ดีขึ้น ส่งผลให้กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับจุลชีพและวิตามินดีมีประสิทธิภาพมากกว่าในเพศชาย
แมกนีเซียมสามารถได้รับจากอาหารประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการเสริมในรูปแบบผลิตภัณฑ์ หากรับประทานอาหารครบหมู่และหลากหลาย
1. ธัญพืชเต็มเมล็ด
เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลีเต็มเมล็ด และควินัว ซึ่งอุดมไปด้วยแมกนีเซียมและใยอาหารที่ช่วยบำรุงจุลชีพในลำไส้
2. ถั่วและเมล็ดพืช
อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และงาดำ ล้วนให้แมกนีเซียมสูง โดยถั่ว 1 กำมือ (ประมาณ 30 กรัม) สามารถให้ได้ถึง 15–25% ของความต้องการต่อวัน
3. ผักใบเขียวเข้ม
เช่น ผักโขม คะน้า บร็อกโคลี และปวยเล้ง ซึ่งมีคลอโรฟิลล์เป็นแหล่งของแมกนีเซียมธรรมชาติ
4. ปลาและอาหารทะเล
โดยเฉพาะปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน
5. อาหารอื่น ๆ
เช่น ดาร์กช็อกโกแลต (โกโก้ ≥70%) อะโวคาโด กล้วย เต้าหู้ และโยเกิร์ต
🌷สรุปข่าว🌷
ผลการศึกษาจากโครงการ PPCCT แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้แนวทาง โภชนาการเฉพาะบุคคล (personalized nutrition) ในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ การเสริมแมกนีเซียมอาจมีประโยชน์มากกว่าการเป็นเพียงแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลจุลชีพในลำไส้ เพิ่มการสร้างวิตามินดีเฉพาะที่ และกระตุ้นกลไกป้องกันมะเร็งในระดับเซลล์
CR https://www.facebook.com/share/1AH1KU7chw/?mibextid=wwXIfr