เมื่อมีความขัดแย้งกัน และพูดต่างภาษากัน ย่อมไม่ไว้ใจกัน.
ผมอยากให้ประเทศไทยสุขสงบ และทุกคนสบายใจ
ผมขอเสนอรากฐานปัญหาไฟใต้ 3 ชายแดนใต้ ที่แก้ไม่สำเร็จ
และขอให้พวกเรา ทุกคน ร่วมคิดร่วมมือเพื่อแก้ไข ซึ่งกว่าสำเร็จคงอีกนานปี แต่เราควรทำให้ผู้เกิดในแผ่นดินไทยทุกคน รู้สึกว่าตนเองคือคนไทย มิได้แปลกแยก - แตกต่าง เพราะเราทุกคนคือคนไทย คือ ครอบครัวเดียวกัน เราล้วนอยากให้แผ่นดินไทย มีแต่เรื่องที่ดีขึ้น.
รายการข่าวค่ำ Thai PBS, 23 ตุลาคม 68 ขี้ว่า **ลูกหลานชาวมลายูสามชายแดนใต้ที่พูดไทยไม่ได้ / ไม่ดี มีจำนวนมากพออย่างมีนัยสำคัญ**
(แตะที่ link -- ไม่ใช่ที่ภาพ)
https://www.youtube.com/live/kzEOFuO7GJY?si=0Ue18VzFAsp_8UG4#t=1h41m16s
**การไม่สร้างโอกาส ให้ทุกคน พูดภาษาไทยได้ดี คือ ความผิดที่ยิ่งใหญ่ของการดับไฟใต้ = ไม่เข้าใจหลักพื้นฐานจิตวิทยา**
ไม่มีครอบครัวใดราบรื่นและปกติสุข เมื่อพ่อแม่พูดได้แต่ภาษาไทย ส่วนลูกพูดภาษาไทยไม่ได้! แบบนี้ครอบครัวย่อมเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ และนำไปสู่ปัญหาไม่รู้จบ รวมทั้ง การแปลกแยก.
มีไหม ครอบครัวที่มีปัญหาภาษาแบบนี้? ต: มี! คือ ชาวมลายูสามชายแดนใต้ ที่รู้สึกว่าเขา ไม่เป็นครอบครัวชาว 'ไทย'
ความสามารถภาษาไทยไม่ดีหรือไม่ได้ ของลูกหลานชาวมลายู 3 ชายแดนใต้ ย่อมมีผลสำคัญ ต่อ การเรียน อาชีพ อนาคต และอย่างอื่นที่ทำให้เกิด ความแปลกแยก (Alienation) -- ความรู้สึกถูกแบ่งแยกจากคนไทย -- และถูกโน้มน้าวให้ใช้ระเบิด!
ผมว่าเป็นเรื่องแปลก สุดเหลือเชื่อ!! ที่การจัดการชายแดนใต้ เมิน อุปสรรคภาษา ซึ่งคือ บ่อเกิดแห่งความแปลกแยก. แปลกอย่างที่สุด!
การแก้ไขปัญหา 3 ชายแดนใต้โดย เพิกเฉย / มองข้าม การรู้ภาษาไทยของลูกหลานชาวมลายู คือความพลาด! ที่สำคัญยิ่ง! ย่อมไม่มีทางดับเพลิงไหม้ของชายแดนใต้ได้ง่าย!! พวกเขา ผู้ไม่ถนัดภาษาไทย คงมีมากพอ มากพอที่ก่อปัญหายาวนานต่อจาก 21 ปีนี้ ออกไปอีก เพราะพวกเขาคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย.
ความรู้สึก *แปลกแยก* ในทางจิตวิทยาสังคม นี่คือ 'รากของการแบ่งแยกทางอัตลักษณ์ (identity divide)'
**ลูกที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกับพ่อและแม่ พี่น้อง ย่อมไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว**
แนวทางที่ควรนำเสนอต่อประชาชนและรัฐบาล (เป็นอย่างน้อย)
1. การเรียนการสอนภาษาไทยแบบ 'สองทาง (Bilingual Education)'
อยู่บ้าน พูดมลายู
อยู่โรงเรียนระดับต้น พูดภาษาไทย
เริ่มต้นให้เด็กใช้ภาษาไทย ในการเรียนรู้ระดับต้น เพื่อ"ไม่*ให้รู้สึกว่าภาษาไทยเป็น “ของคนอื่น”
ควบคู่ไปกับการสอนภาษาไทยแบบค่อยเป็นค่อยไป สนุก เข้าใจง่าย
รัฐควรจัดหลักสูตรภาษาไทยเฉพาะพื้นที่ โดยใช้ผู้สอนที่เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น
2. โครงการสร้างแรงจูงใจและความภูมิใจในความเป็น “คนไทยหลายวัฒนธรรม”
สื่อสารเชิงบวก เช่น แคมเปญ 'พูดไทยได้หลายสำเนียง คือเสน่ห์ของชาติเดียวกัน'
ส่งเสริมเยาวชนมุสลิมที่พูดไทยได้ดีให้เป็น 'ต้นแบบ' สร้างแรงบันดาลใจ
3. การมีส่วนร่วมของนักจิตวิทยาและนักการศึกษา
ช่วยออกแบบกิจกรรม 'พัฒนาความรู้สึกร่วมในชาติ' โดยไม่ทำลายอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม
ควรสร้างหลักสูตรที่ทำให้การเรียนภาษาไทยเป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่การบังคับ
4. การเชื่อมโยงกับสื่อและเทคโนโลยี
ผลิตสื่อการเรียนรู้ภาษาไทยที่เหมาะกับเด็กมุสลิม เช่น การ์ตูน เพลง หรือแอปที่ใช้สำเนียงท้องถิ่น
ทำให้ 'ภาษาไทย' เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน
สาธารณะชนคนไทยควรมองว่า
“ภาษาไทยไม่ใช่แค่ภาษาของรัฐ แต่คือสะพานใจระหว่างคนไทยทุกศาสนา และวัฒนธรรม
หากลูกหลานชาวมุสลิมพูดไทยได้ดีโดยไม่รู้สึกถูกบังคับ เขาจะรู้สึกว่า ‘ประเทศไทยคือบ้านของเขา’ อย่างแท้จริง
การสร้างสันติสุขเริ่มจากการฟังกัน เข้าใจกัน และพูดภาษาเดียวกัน — ด้วยหัวใจเดียวกัน”
รัฐควรมองให้ออกว่า มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้พวกเขาไม่ใช้ภาษาไทย.
ความรู้สึกเป็นเจ้าของชาติและการยอมรับซึ่งกันและกันเพิ่มขึ้น
ลดความเข้าใจผิดและอคติระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์
เสริมสร้างรากฐานทางจิตวิทยาเพื่อสันติสุขอย่างยั่งยืน
หากเรามองให้ลึก นี่คือ “ปัญหาทางจิตวิทยาสังคม” ที่รุนแรง — เพราะเด็กที่พูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่เพียงขาดโอกาสทางการศึกษา แต่ยังขาดความรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนไทยคนหนึ่ง”
เราไม่อาจสร้างสันติสุขได้ด้วยกฎหมายหรือกำลังทหารเพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถเริ่มจากสิ่งเรียบง่ายที่สุด — ให้เด็กๆ ทุกคนพูดกันเข้าใจ พูดกันด้วยภาษาเดียวกัน
เราควรเริ่มจากห้องเรียนที่ให้เด็กมุสลิมเรียนรู้ภาษาไทยอย่างสนุก เข้าใจง่าย และไม่รู้สึกว่าภาษาไทยคือการสูญเสียตัวตน
ครูควรเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น ใช้ภาษามลายูถิ่นเป็นสะพานนำทางสู่ภาษาไทย
สื่อสาธารณะควรช่วยสร้างภาพจำใหม่ว่า “พูดไทยได้หลายสำเนียง คือเสน่ห์ของชาติเดียวกัน”
วันใดที่เด็กมุสลิมในสามจังหวัดสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างมั่นใจ
วันนั้น “เสียงของประเทศไทย” จะดังก้องในใจของพวกเขาด้วย
และบางที — สันติสุขที่เรารอคอยกว่า 20 ปี อาจเริ่มต้นจากคำพูดธรรมดาเพียงคำเดียว...
“เราเป็นคนไทยด้วยกัน”
"ภาษาเดียวกัน คือสะพานใจสะพานเดียวกัน"
K+
28 ตค 68
ปล.
เหตุผลว่าทำไมเรื่อง *ภาษา* ถึงเป็นจุดสำคัญ
1. ภาษา = ตัวกลางของอัตลักษณ์และความรู้สึกร่วมในชาติ
การสื่อสารด้วยภาษาเดียวกันสร้างความรู้สึกร่วม ความไว้วางใจ และการเข้าใจกัน
หากเด็กๆ ไม่พูดภาษาไทยได้คล่อง พวกเขาจะรู้สึกว่าระบบการศึกษาไทยและสังคมไทย *ไม่ใช่ของพวกเขา*
2. อุปสรรคทางการศึกษาและโอกาส
เด็กที่พูดไทยไม่คล่องจะเรียนในโรงเรียนไทยลำบาก ทำให้โอกาสทางการศึกษาต่ำกว่า และขาดความสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานทั่วประเทศ
สิ่งนี้ยิ่งทำให้เกิด *ช่องว่างระหว่างวัฒนธรรม* สร้างผลเชิงลบ.
3. ผลทางจิตวิทยาและสังคม
การไม่สามารถสื่อสารกับส่วนกลางได้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่ารัฐ *ไม่เข้าใจ*
ความไม่เข้าใจนี้สะสมจนกลายเป็นความ**ไม่ไว้วางใจ** และใน คนบางกลุ่มกลายเป็น**ความขัดแย้ง**
====
ดับปัญหาไฟใต้พลาดมา 21 ปี เพราะไม่เข้าใจหลักจิตวิทยา คือ ไม่สร้าง/เอื้อ ให้เด็กทุกคนเห็นภาษาไทย เป็นของตนเอง!
ผมอยากให้ประเทศไทยสุขสงบ และทุกคนสบายใจ
ผมขอเสนอรากฐานปัญหาไฟใต้ 3 ชายแดนใต้ ที่แก้ไม่สำเร็จ
และขอให้พวกเรา ทุกคน ร่วมคิดร่วมมือเพื่อแก้ไข ซึ่งกว่าสำเร็จคงอีกนานปี แต่เราควรทำให้ผู้เกิดในแผ่นดินไทยทุกคน รู้สึกว่าตนเองคือคนไทย มิได้แปลกแยก - แตกต่าง เพราะเราทุกคนคือคนไทย คือ ครอบครัวเดียวกัน เราล้วนอยากให้แผ่นดินไทย มีแต่เรื่องที่ดีขึ้น.
รายการข่าวค่ำ Thai PBS, 23 ตุลาคม 68 ขี้ว่า **ลูกหลานชาวมลายูสามชายแดนใต้ที่พูดไทยไม่ได้ / ไม่ดี มีจำนวนมากพออย่างมีนัยสำคัญ**
(แตะที่ link -- ไม่ใช่ที่ภาพ)
https://www.youtube.com/live/kzEOFuO7GJY?si=0Ue18VzFAsp_8UG4#t=1h41m16s
**การไม่สร้างโอกาส ให้ทุกคน พูดภาษาไทยได้ดี คือ ความผิดที่ยิ่งใหญ่ของการดับไฟใต้ = ไม่เข้าใจหลักพื้นฐานจิตวิทยา**
ไม่มีครอบครัวใดราบรื่นและปกติสุข เมื่อพ่อแม่พูดได้แต่ภาษาไทย ส่วนลูกพูดภาษาไทยไม่ได้! แบบนี้ครอบครัวย่อมเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ และนำไปสู่ปัญหาไม่รู้จบ รวมทั้ง การแปลกแยก.
มีไหม ครอบครัวที่มีปัญหาภาษาแบบนี้? ต: มี! คือ ชาวมลายูสามชายแดนใต้ ที่รู้สึกว่าเขา ไม่เป็นครอบครัวชาว 'ไทย'
ความสามารถภาษาไทยไม่ดีหรือไม่ได้ ของลูกหลานชาวมลายู 3 ชายแดนใต้ ย่อมมีผลสำคัญ ต่อ การเรียน อาชีพ อนาคต และอย่างอื่นที่ทำให้เกิด ความแปลกแยก (Alienation) -- ความรู้สึกถูกแบ่งแยกจากคนไทย -- และถูกโน้มน้าวให้ใช้ระเบิด!
ผมว่าเป็นเรื่องแปลก สุดเหลือเชื่อ!! ที่การจัดการชายแดนใต้ เมิน อุปสรรคภาษา ซึ่งคือ บ่อเกิดแห่งความแปลกแยก. แปลกอย่างที่สุด!
การแก้ไขปัญหา 3 ชายแดนใต้โดย เพิกเฉย / มองข้าม การรู้ภาษาไทยของลูกหลานชาวมลายู คือความพลาด! ที่สำคัญยิ่ง! ย่อมไม่มีทางดับเพลิงไหม้ของชายแดนใต้ได้ง่าย!! พวกเขา ผู้ไม่ถนัดภาษาไทย คงมีมากพอ มากพอที่ก่อปัญหายาวนานต่อจาก 21 ปีนี้ ออกไปอีก เพราะพวกเขาคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย.
ความรู้สึก *แปลกแยก* ในทางจิตวิทยาสังคม นี่คือ 'รากของการแบ่งแยกทางอัตลักษณ์ (identity divide)'
**ลูกที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกับพ่อและแม่ พี่น้อง ย่อมไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว**
แนวทางที่ควรนำเสนอต่อประชาชนและรัฐบาล (เป็นอย่างน้อย)
1. การเรียนการสอนภาษาไทยแบบ 'สองทาง (Bilingual Education)'
อยู่บ้าน พูดมลายู
อยู่โรงเรียนระดับต้น พูดภาษาไทย
เริ่มต้นให้เด็กใช้ภาษาไทย ในการเรียนรู้ระดับต้น เพื่อ"ไม่*ให้รู้สึกว่าภาษาไทยเป็น “ของคนอื่น”
ควบคู่ไปกับการสอนภาษาไทยแบบค่อยเป็นค่อยไป สนุก เข้าใจง่าย
รัฐควรจัดหลักสูตรภาษาไทยเฉพาะพื้นที่ โดยใช้ผู้สอนที่เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น
2. โครงการสร้างแรงจูงใจและความภูมิใจในความเป็น “คนไทยหลายวัฒนธรรม”
สื่อสารเชิงบวก เช่น แคมเปญ 'พูดไทยได้หลายสำเนียง คือเสน่ห์ของชาติเดียวกัน'
ส่งเสริมเยาวชนมุสลิมที่พูดไทยได้ดีให้เป็น 'ต้นแบบ' สร้างแรงบันดาลใจ
3. การมีส่วนร่วมของนักจิตวิทยาและนักการศึกษา
ช่วยออกแบบกิจกรรม 'พัฒนาความรู้สึกร่วมในชาติ' โดยไม่ทำลายอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม
ควรสร้างหลักสูตรที่ทำให้การเรียนภาษาไทยเป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่การบังคับ
4. การเชื่อมโยงกับสื่อและเทคโนโลยี
ผลิตสื่อการเรียนรู้ภาษาไทยที่เหมาะกับเด็กมุสลิม เช่น การ์ตูน เพลง หรือแอปที่ใช้สำเนียงท้องถิ่น
ทำให้ 'ภาษาไทย' เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน
สาธารณะชนคนไทยควรมองว่า
“ภาษาไทยไม่ใช่แค่ภาษาของรัฐ แต่คือสะพานใจระหว่างคนไทยทุกศาสนา และวัฒนธรรม
หากลูกหลานชาวมุสลิมพูดไทยได้ดีโดยไม่รู้สึกถูกบังคับ เขาจะรู้สึกว่า ‘ประเทศไทยคือบ้านของเขา’ อย่างแท้จริง
การสร้างสันติสุขเริ่มจากการฟังกัน เข้าใจกัน และพูดภาษาเดียวกัน — ด้วยหัวใจเดียวกัน”
รัฐควรมองให้ออกว่า มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้พวกเขาไม่ใช้ภาษาไทย.
ความรู้สึกเป็นเจ้าของชาติและการยอมรับซึ่งกันและกันเพิ่มขึ้น
ลดความเข้าใจผิดและอคติระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์
เสริมสร้างรากฐานทางจิตวิทยาเพื่อสันติสุขอย่างยั่งยืน
หากเรามองให้ลึก นี่คือ “ปัญหาทางจิตวิทยาสังคม” ที่รุนแรง — เพราะเด็กที่พูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่เพียงขาดโอกาสทางการศึกษา แต่ยังขาดความรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนไทยคนหนึ่ง”
เราไม่อาจสร้างสันติสุขได้ด้วยกฎหมายหรือกำลังทหารเพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถเริ่มจากสิ่งเรียบง่ายที่สุด — ให้เด็กๆ ทุกคนพูดกันเข้าใจ พูดกันด้วยภาษาเดียวกัน
เราควรเริ่มจากห้องเรียนที่ให้เด็กมุสลิมเรียนรู้ภาษาไทยอย่างสนุก เข้าใจง่าย และไม่รู้สึกว่าภาษาไทยคือการสูญเสียตัวตน
ครูควรเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น ใช้ภาษามลายูถิ่นเป็นสะพานนำทางสู่ภาษาไทย
สื่อสาธารณะควรช่วยสร้างภาพจำใหม่ว่า “พูดไทยได้หลายสำเนียง คือเสน่ห์ของชาติเดียวกัน”
วันใดที่เด็กมุสลิมในสามจังหวัดสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างมั่นใจ
วันนั้น “เสียงของประเทศไทย” จะดังก้องในใจของพวกเขาด้วย
และบางที — สันติสุขที่เรารอคอยกว่า 20 ปี อาจเริ่มต้นจากคำพูดธรรมดาเพียงคำเดียว...
“เราเป็นคนไทยด้วยกัน”
"ภาษาเดียวกัน คือสะพานใจสะพานเดียวกัน"
K+
28 ตค 68
ปล.
เหตุผลว่าทำไมเรื่อง *ภาษา* ถึงเป็นจุดสำคัญ
1. ภาษา = ตัวกลางของอัตลักษณ์และความรู้สึกร่วมในชาติ
การสื่อสารด้วยภาษาเดียวกันสร้างความรู้สึกร่วม ความไว้วางใจ และการเข้าใจกัน
หากเด็กๆ ไม่พูดภาษาไทยได้คล่อง พวกเขาจะรู้สึกว่าระบบการศึกษาไทยและสังคมไทย *ไม่ใช่ของพวกเขา*
2. อุปสรรคทางการศึกษาและโอกาส
เด็กที่พูดไทยไม่คล่องจะเรียนในโรงเรียนไทยลำบาก ทำให้โอกาสทางการศึกษาต่ำกว่า และขาดความสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานทั่วประเทศ
สิ่งนี้ยิ่งทำให้เกิด *ช่องว่างระหว่างวัฒนธรรม* สร้างผลเชิงลบ.
3. ผลทางจิตวิทยาและสังคม
การไม่สามารถสื่อสารกับส่วนกลางได้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่ารัฐ *ไม่เข้าใจ*
ความไม่เข้าใจนี้สะสมจนกลายเป็นความ**ไม่ไว้วางใจ** และใน คนบางกลุ่มกลายเป็น**ความขัดแย้ง**
====