วิธีการฝึกทิพจักขุญาณ
1. การฝึก “อาโลกสัญญา” หรือ “น้อมใจให้มีแสง”
การจะเกิดทิพจักขุได้ ต้องเริ่มจากการ ฝึกจิตให้มีแสงสว่างอยู่เสมอ
โดย “อาโลกสัญญา” หมายถึง การน้อมใจให้เห็นแสงของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือแสงแก้วมณี
ทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วตั้งใจให้เห็นแสงนั้นอยู่ตลอดเวลา
“อธิษฐานทิวาสัญญา” หมายถึง
การตั้งใจว่า “กลางคืนก็ให้เหมือนกลางวัน” คือทำให้จิตตื่นสว่าง ไม่หลับ ไม่มืด
ผู้ฝึกจะทำให้จิต “โปร่ง โล่ง สว่าง ไม่ถูกห่อหุ้มด้วยความมืด” จนเกิดสภาพจิตที่เรียกว่า “สปภาสจิตตัง” จิตสว่างไสว
2. พัฒนาจากแสงในใจ → เป็นทิพจักขุ
เมื่อเจริญ “อาโลกกสิณ” จิตจะเริ่มมีแสงสว่างออกจากภายในจริงๆ ควรใช้ กสิณ ๓ อย่าง ได้แก่
เตโชกสิณ (เพ่งแสงไฟ),
โอทาตกสิณ (เพ่งของขาว),
อาโลกกสิณ (เพ่งแสงสว่าง)
ในสามอย่างนี้ “อาโลกกสิณ” ดีที่สุด
ผู้ฝึกไม่ต้องรีบเข้าสู่อัปปนาฌาน (สมาธิลึกสุด) แต่ให้เจริญในขั้น อุปจารสมาธิ (สมาธิใกล้ฌาน) แล้วแผ่แสงออกไปเรื่อย ๆ จากภายในจนสว่างทั่วรอบตัว เมื่อทำบ่อย ๆ แสงจะมีกำลังมากขึ้น สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ไกล เห็นทะลุสิ่งกีดขวางได้และเมื่อแสงนี้ทรงตัว“ทิพจักขุ” (ตาทิพย์) ก็เกิดขึ้น
3. ลักษณะของ “ทิพจักขุ”
เมื่อจิตสว่างจนเป็นตาทิพย์แล้ว ผู้ปฏิบัติจะ “เห็นรูปทั้งภายในและภายนอก” ได้ชัดเจน เช่น
เห็นสิ่งในร่างกายตนเอง
เห็นสิ่งอยู่หลังฝา ใต้ดิน หรือในที่ไกล
เห็นสิ่งในโลกอื่น เช่น เทวโลก หรือนรก
เป็นการเห็นด้วย “ญาณจักษุ” ไม่ใช่ตาเนื้อ
4. การใช้งานของทิพจักขุ
ผู้ที่มีตาทิพย์จะรู้ได้ว่า
“สัตว์เหล่านี้จุติจากที่หนึ่ง (ตาย) แล้วไปเกิดที่ไหน (อุปบัติ)”
เห็นชัดทั้งความสุข ความทุกข์ สีผิว รูปลักษณ์ และฐานะของสัตว์เหล่านั้น
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็เกิด “ยถากัมมูปคญาณ” ญาณรู้ว่าสัตว์ไปเกิดตามกรรมของตน
เช่น เห็นสัตว์ตกนรก ก็รู้ว่าเพราะทำกรรมชั่วอะไรไว้
เห็นสัตว์ขึ้นสวรรค์ ก็รู้ว่าเพราะทำกรรมดีอะไรไว้
นี่คือลำดับที่ “ทิพจักขุญาณ” นำไปสู่ “ยถากัมมูปคญาณ”
และต่อยอดเป็น จุตูปปาตญาณ ญาณรู้การตายและการเกิดของสรรพสัตว์
5. คำเตือนเรื่องอันตรายของญาณ
สำหรับ “ปุถุชน” หรือผู้ยังไม่บริสุทธิ์จากกิเลส การฝึกให้จิตมีแสงมากเกินไปอาจเป็นอันตราย
เพราะเมื่อแสงสว่างกระจายไปทั่ว
อาจเห็น “ยักษ์ ภูต ผี สัตว์น่ากลัว” แล้วเกิดความหวาดกลัว ฟุ้งซ่าน จิตหลุดจากสมาธิได้
ดังนั้น ต้องมี “ครูผู้ชำนาญ” คอยกำกับ และต้องรักษาสติ ไม่ประมาท
6. ญาณนี้เรียกว่า “วิสุทธทิพจักขุ”
เพราะเห็น ทั้งจุติ (การตาย) และ อุปบัติ (การเกิดใหม่) พร้อมกัน
ถ้าเห็นแค่ด้านใดด้านหนึ่ง จะติดในทิฏฐิ เช่น
เห็นแต่การตาย → ยึดอุจเฉททิฏฐิ เชื่อว่าตายแล้วสูญ
เห็นแต่การเกิด → ยึดสัสสตทิฏฐิ เชื่อว่ามีตัวตนถาวร
ผู้เห็นทั้งสองอย่างย่อมละทิฏฐิผิดได้ จึงชื่อว่า “วิสุทธทิพจักขุ” — ตาทิพย์อันบริสุทธิ์
7. ทิพจักขุของพระอริยะเจ้า
ผู้บรรลุธรรม เช่น พระอรหันต์ ย่อมมีทิพจักขุที่ “บริสุทธิ์และไม่หลงในภาพที่เห็น”
ท่านเห็นสัตว์จุติ–อุปบัติอย่างสงบ ไม่ตกใจ ไม่ยึดถือจึงใช้ญาณนี้เพื่อเข้าใจความจริงของวัฏสงสาร และปล่อยวางได้
วิธีการฝึกทิพจักขุญาณ
1. การฝึก “อาโลกสัญญา” หรือ “น้อมใจให้มีแสง”
การจะเกิดทิพจักขุได้ ต้องเริ่มจากการ ฝึกจิตให้มีแสงสว่างอยู่เสมอ
โดย “อาโลกสัญญา” หมายถึง การน้อมใจให้เห็นแสงของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือแสงแก้วมณี
ทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วตั้งใจให้เห็นแสงนั้นอยู่ตลอดเวลา
“อธิษฐานทิวาสัญญา” หมายถึง
การตั้งใจว่า “กลางคืนก็ให้เหมือนกลางวัน” คือทำให้จิตตื่นสว่าง ไม่หลับ ไม่มืด
ผู้ฝึกจะทำให้จิต “โปร่ง โล่ง สว่าง ไม่ถูกห่อหุ้มด้วยความมืด” จนเกิดสภาพจิตที่เรียกว่า “สปภาสจิตตัง” จิตสว่างไสว
2. พัฒนาจากแสงในใจ → เป็นทิพจักขุ
เมื่อเจริญ “อาโลกกสิณ” จิตจะเริ่มมีแสงสว่างออกจากภายในจริงๆ ควรใช้ กสิณ ๓ อย่าง ได้แก่
เตโชกสิณ (เพ่งแสงไฟ),
โอทาตกสิณ (เพ่งของขาว),
อาโลกกสิณ (เพ่งแสงสว่าง)
ในสามอย่างนี้ “อาโลกกสิณ” ดีที่สุด
ผู้ฝึกไม่ต้องรีบเข้าสู่อัปปนาฌาน (สมาธิลึกสุด) แต่ให้เจริญในขั้น อุปจารสมาธิ (สมาธิใกล้ฌาน) แล้วแผ่แสงออกไปเรื่อย ๆ จากภายในจนสว่างทั่วรอบตัว เมื่อทำบ่อย ๆ แสงจะมีกำลังมากขึ้น สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ไกล เห็นทะลุสิ่งกีดขวางได้และเมื่อแสงนี้ทรงตัว“ทิพจักขุ” (ตาทิพย์) ก็เกิดขึ้น
3. ลักษณะของ “ทิพจักขุ”
เมื่อจิตสว่างจนเป็นตาทิพย์แล้ว ผู้ปฏิบัติจะ “เห็นรูปทั้งภายในและภายนอก” ได้ชัดเจน เช่น
เห็นสิ่งในร่างกายตนเอง
เห็นสิ่งอยู่หลังฝา ใต้ดิน หรือในที่ไกล
เห็นสิ่งในโลกอื่น เช่น เทวโลก หรือนรก
เป็นการเห็นด้วย “ญาณจักษุ” ไม่ใช่ตาเนื้อ
4. การใช้งานของทิพจักขุ
ผู้ที่มีตาทิพย์จะรู้ได้ว่า
“สัตว์เหล่านี้จุติจากที่หนึ่ง (ตาย) แล้วไปเกิดที่ไหน (อุปบัติ)”
เห็นชัดทั้งความสุข ความทุกข์ สีผิว รูปลักษณ์ และฐานะของสัตว์เหล่านั้น
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็เกิด “ยถากัมมูปคญาณ” ญาณรู้ว่าสัตว์ไปเกิดตามกรรมของตน
เช่น เห็นสัตว์ตกนรก ก็รู้ว่าเพราะทำกรรมชั่วอะไรไว้
เห็นสัตว์ขึ้นสวรรค์ ก็รู้ว่าเพราะทำกรรมดีอะไรไว้
นี่คือลำดับที่ “ทิพจักขุญาณ” นำไปสู่ “ยถากัมมูปคญาณ”
และต่อยอดเป็น จุตูปปาตญาณ ญาณรู้การตายและการเกิดของสรรพสัตว์
5. คำเตือนเรื่องอันตรายของญาณ
สำหรับ “ปุถุชน” หรือผู้ยังไม่บริสุทธิ์จากกิเลส การฝึกให้จิตมีแสงมากเกินไปอาจเป็นอันตราย
เพราะเมื่อแสงสว่างกระจายไปทั่ว
อาจเห็น “ยักษ์ ภูต ผี สัตว์น่ากลัว” แล้วเกิดความหวาดกลัว ฟุ้งซ่าน จิตหลุดจากสมาธิได้
ดังนั้น ต้องมี “ครูผู้ชำนาญ” คอยกำกับ และต้องรักษาสติ ไม่ประมาท
6. ญาณนี้เรียกว่า “วิสุทธทิพจักขุ”
เพราะเห็น ทั้งจุติ (การตาย) และ อุปบัติ (การเกิดใหม่) พร้อมกัน
ถ้าเห็นแค่ด้านใดด้านหนึ่ง จะติดในทิฏฐิ เช่น
เห็นแต่การตาย → ยึดอุจเฉททิฏฐิ เชื่อว่าตายแล้วสูญ
เห็นแต่การเกิด → ยึดสัสสตทิฏฐิ เชื่อว่ามีตัวตนถาวร
ผู้เห็นทั้งสองอย่างย่อมละทิฏฐิผิดได้ จึงชื่อว่า “วิสุทธทิพจักขุ” — ตาทิพย์อันบริสุทธิ์
7. ทิพจักขุของพระอริยะเจ้า
ผู้บรรลุธรรม เช่น พระอรหันต์ ย่อมมีทิพจักขุที่ “บริสุทธิ์และไม่หลงในภาพที่เห็น”
ท่านเห็นสัตว์จุติ–อุปบัติอย่างสงบ ไม่ตกใจ ไม่ยึดถือจึงใช้ญาณนี้เพื่อเข้าใจความจริงของวัฏสงสาร และปล่อยวางได้