headlightmag
ในงาน Thailand International Motor Expo 2025 ที่กำลังจะจัดขึ้นวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2025 นี้ Nissan ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว X-Trail เจเนอเรชั่นที่ 4 รหัสตัวถัง T33 ในฐานะรถยนต์รุ่นใหม่ของ Nissan ที่จะกลับมาโลดแล่นบนสมรภูมิ Compact SUV พร้อมชูจุดเด่นด้านขุมพลัง e-POWER ติดตั้งเครื่องยนต์ปั่นไฟและใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100% ตลอดจนระบบขับเคลื่อน e-4ORCE ซึ่งเป็นงานวิศวกรรมที่ Nissan เริ่มพัฒนาและติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนจะถ่ายทอดสู่รถยนต์ขุมพลังไฟฟ้า + น้ำมัน เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพการขับขี่ที่ดี และความยืดหยุ่นในการใช้งาน

หัวใจหลักในการขับเคลื่อนของ Nissan X-Trail รุ่นปัจจุบัน คือระบบ e-POWER (2nd Generation) ซึ่งเป็น Series Hybrid ขนาดแท้ เครื่องยนต์ไม่ถูกเชื่อต่อกับล้อ แต่ทำหน้าที่เป็น Generator ผลิตกระแสไฟให้มอเตอร์ และแบตเตอรี่ โดยขุมพลัง e-POWER จะประกอบไปด้วย 4 ชิ้นส่วนหลัก ได้แก่
1. เครื่องยนต์สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นเครื่องยนต์รหัส KR15DDT เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ความจุ 1.5 ลิตร 1,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 84.0 × 90.1 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct-injection กำลังอัดแปรผัน (Variable Compression Ratio) ตั้งแต่ 8.0 : 1 – 14.0 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 106 กิโลวัตต์ หรือ 144 แรงม้า (PS) ที่ 4,400 – 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,400 – 4,000 รอบ/นาที ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้า
2. มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 2 ตัว ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส BM46 กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า (PS) ที่ 4,739 – 5,623 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,505 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส MM48 กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ หรือ 136 แรงม้า (PS) ที่ 4,897 – 9,504 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 195 นิวตันเมตร ที่ 0 – 4,897 รอบ/นาที รวมพละกำลังสูงสุดทั้งระบบ 213 แรงม้า (PS) 525 นิวตันเมตร
3. แบตเตอรี่แรงดันสูง (High-volyage Battery) เป็นแบบ Lithium-ion แรงดัน 346 V ความจุ 2 kWh ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าสู่มอเตอร์ในจังหวะขับเคลื่อน และรับพลังงานจากการปั่นกระแสไฟฟ้ากลับ ช่วงลดความเร็ว (Regenerative Braking)
4. อินเวอร์เตอร์ แบบ Compact Water-cooled ระบบความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น ทำหน้าที่ แปลงไฟ DC/AC ความถี่สูง ทำงานร่วมกับ Power Control Module (PCM) ที่สั่งการทั้งระบบภายในเวลา 1 มิลลิวินาที
การทำงานของระบบ e-POWER เมื่อเริ่มขับ มอเตอร์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนรถโดยตรง เครื่องยนต์ยังไม่ทำงานจนกว่าแบตเตอรี่ต้องการชาร์จ หรือมีการเรียกแรงขับสูง PCM จะคำนวณโหลด รอบมอเตอร์ไฟฟ้า และแรงบิด ที่เหมาะสมให้เครื่องยนต์ทำงาน ในจุดที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ต่ำที่สุด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและเสียงรบกวนน้อยที่สุด การตอบสนองจะให้ความรู้สึกเหมือนกับการขับรถยนต์ไฟฟ้า EV เต็มรูปแบบ แรงดี ตอบสนองไว และเงียบ แต่ได้ระยะทางเดินทางแบบรถใช้น้ำมันทั่วไป

สำหรับระบบขับเคลื่อน e-4ORCE พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ควบคุมด้วยสมองกลไฟฟ้า เป็นเทคโนโลยี All-Wheel Control ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว (หน้า – หลัง) ขับเคลื่อนแยกอิสระโดยไม่ต้องใช้เพลาหรือคลัตช์เชื่อม ซึ่งทาง Nissan เคลมว่าสามารถตอบสนองได้เร็วกว่าระบบ AWD แบบกลไกถึง 10 เท่า โครงสร้างหลักของระบบขับเคลื่อน e-4ORCE ประกอบด้วย…
1. มอเตอร์ไฟฟ้ารหัส BM46 กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า (PS) ที่ 4,739 – 5,623 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,505 รอบ/นาที
2. มอเตอร์ไฟฟ้ารหัส MM48 กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ หรือ 136 แรงม้า (PS) ที่ 4,897 – 9,504 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 195 นิวตันเมตร ที่ 0 – 4,897 รอบ/นาที
3. ระบบควบคุมแรงบิด (Torque Distribution) แปรผันการกระจายกำลังหน้าและหล้ง ได้ตั้งแต่ 100 : 0 ไปจนถึง 0 : 100 แบบต่อเนื่อง
4. ระบบควบคุมแรงบิดขณะเลี้ยวหรือเข้าโค้ง (Torque Vectoring Control) ใช้แรงเบรกไฟฟ้าแต่ละล้อ เพื่อปรับทิศแรงขับ รักษาเสถียรภาพในโค้ง
5. ระบบควบคุมการปล่อยพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า (Pitch & Dive Suppression) ควบคุมแรงหน่วง หน้าและหลัง ให้สมดุล ลดการโยนตัวของรถ ขณะเบรก
หลักการทำงานของระบบ e-4ORCE จะอาศัยเซ็นเซอร์กว่า 20 จุด เพื่อตรวจจับมุมพวงมาลัย อัตราเหยียบคันเร่ง แรง G แนวตั้ง/แนวนอน การหมุนล้อ และแรงเบรก ทั้งหมดประมวลผลผ่าน Vehicle Dynamics Controller กลาง เพื่อสั่งจ่ายแรงบิดให้เหมาะกับสภาพถนนแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างการทำงาน เช่น ในโค้งเปียก ระบบจะลดกำลังของมอเตอร์ด้านนอกโค้ง เพิ่มด้านใน รักษาเส้นทางไม่ให้ท้ายปัด หรือบนทางลาดชัน ระบบจะใช้แรงมอเตอร์หลัง (ซึ่งมีแรงเสียดทานกับพื้นเยอะกว่าหน้า) สำหรับช่วยออกตัว


ด้านสมรรถนะการขับขี่ จากข้อมูลเทคนิคญี่ปุ่นและยุโรป X-Trail e-POWER e-4ORCE มีกำลังระบบรวมประมาณ 213 แรงม้า (PS) และแรงบิดรวม 525 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7 วินาที (เร็วกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร NA ในรุ่น T32 เกือบ 3 วินาที)
ระบบขับเคลื่อนทุกอย่างควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ Integrated Control Technology ที่ผสาน e-POWER, e-4ORCE และระบบควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว VDC เข้าเป็นหนึ่งเดียว ทำให้รถตอบสนองราวกับมี Adaptive Torque Brain ในตัว
ทีมพัฒนา Nissan ตั้งเป้าให้ระบบขับเคลื่อน e-4ORCE เพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว โดยไม่สูญเสียความนุ่มนวลในการโดยสาร โดยอาศัยหลักการต่างๆ อาทิ
Body Pitch Control ลดการโยนตัว – หลัง โดยใช้เทคนิคการกระจายกำลังล้อหน้า – หลัง แทนการปรับโช๊คอัพให้หนืด ส่งผลให้ผู้โดยสาร รู้สึกนิ่ง ขณะเร่ง – เบรก
Flat Corner Feel ลดการโยนตัวในระนาบซ้าย – ขวา ในจังหวะเข้าโค้ง ด้วยการกระจายแรงบิดแต่ละฝั่งอย่างรวดเร็ว ระดับ milli-second ทำให้ตัวรถเอียงน้อย
Linear Acceleration Feel แรงดึงไม่กระชากเพราะระบบมีการควบคุมแรงบิดให้สัมพันธ์กับการเหยียบคันเร่ง
————-//————-
รู้จักระบบ e-4ORCE ใน All NEW Nissan X-Trail e-POWER ก่อนขายไทย ปลายปี้นี้ !
ในงาน Thailand International Motor Expo 2025 ที่กำลังจะจัดขึ้นวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2025 นี้ Nissan ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว X-Trail เจเนอเรชั่นที่ 4 รหัสตัวถัง T33 ในฐานะรถยนต์รุ่นใหม่ของ Nissan ที่จะกลับมาโลดแล่นบนสมรภูมิ Compact SUV พร้อมชูจุดเด่นด้านขุมพลัง e-POWER ติดตั้งเครื่องยนต์ปั่นไฟและใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100% ตลอดจนระบบขับเคลื่อน e-4ORCE ซึ่งเป็นงานวิศวกรรมที่ Nissan เริ่มพัฒนาและติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนจะถ่ายทอดสู่รถยนต์ขุมพลังไฟฟ้า + น้ำมัน เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพการขับขี่ที่ดี และความยืดหยุ่นในการใช้งาน
หัวใจหลักในการขับเคลื่อนของ Nissan X-Trail รุ่นปัจจุบัน คือระบบ e-POWER (2nd Generation) ซึ่งเป็น Series Hybrid ขนาดแท้ เครื่องยนต์ไม่ถูกเชื่อต่อกับล้อ แต่ทำหน้าที่เป็น Generator ผลิตกระแสไฟให้มอเตอร์ และแบตเตอรี่ โดยขุมพลัง e-POWER จะประกอบไปด้วย 4 ชิ้นส่วนหลัก ได้แก่
1. เครื่องยนต์สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นเครื่องยนต์รหัส KR15DDT เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ความจุ 1.5 ลิตร 1,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 84.0 × 90.1 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct-injection กำลังอัดแปรผัน (Variable Compression Ratio) ตั้งแต่ 8.0 : 1 – 14.0 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 106 กิโลวัตต์ หรือ 144 แรงม้า (PS) ที่ 4,400 – 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,400 – 4,000 รอบ/นาที ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้า
2. มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 2 ตัว ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส BM46 กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า (PS) ที่ 4,739 – 5,623 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,505 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส MM48 กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ หรือ 136 แรงม้า (PS) ที่ 4,897 – 9,504 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 195 นิวตันเมตร ที่ 0 – 4,897 รอบ/นาที รวมพละกำลังสูงสุดทั้งระบบ 213 แรงม้า (PS) 525 นิวตันเมตร
3. แบตเตอรี่แรงดันสูง (High-volyage Battery) เป็นแบบ Lithium-ion แรงดัน 346 V ความจุ 2 kWh ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าสู่มอเตอร์ในจังหวะขับเคลื่อน และรับพลังงานจากการปั่นกระแสไฟฟ้ากลับ ช่วงลดความเร็ว (Regenerative Braking)
4. อินเวอร์เตอร์ แบบ Compact Water-cooled ระบบความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น ทำหน้าที่ แปลงไฟ DC/AC ความถี่สูง ทำงานร่วมกับ Power Control Module (PCM) ที่สั่งการทั้งระบบภายในเวลา 1 มิลลิวินาที
การทำงานของระบบ e-POWER เมื่อเริ่มขับ มอเตอร์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนรถโดยตรง เครื่องยนต์ยังไม่ทำงานจนกว่าแบตเตอรี่ต้องการชาร์จ หรือมีการเรียกแรงขับสูง PCM จะคำนวณโหลด รอบมอเตอร์ไฟฟ้า และแรงบิด ที่เหมาะสมให้เครื่องยนต์ทำงาน ในจุดที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ต่ำที่สุด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและเสียงรบกวนน้อยที่สุด การตอบสนองจะให้ความรู้สึกเหมือนกับการขับรถยนต์ไฟฟ้า EV เต็มรูปแบบ แรงดี ตอบสนองไว และเงียบ แต่ได้ระยะทางเดินทางแบบรถใช้น้ำมันทั่วไป
สำหรับระบบขับเคลื่อน e-4ORCE พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ควบคุมด้วยสมองกลไฟฟ้า เป็นเทคโนโลยี All-Wheel Control ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว (หน้า – หลัง) ขับเคลื่อนแยกอิสระโดยไม่ต้องใช้เพลาหรือคลัตช์เชื่อม ซึ่งทาง Nissan เคลมว่าสามารถตอบสนองได้เร็วกว่าระบบ AWD แบบกลไกถึง 10 เท่า โครงสร้างหลักของระบบขับเคลื่อน e-4ORCE ประกอบด้วย…
1. มอเตอร์ไฟฟ้ารหัส BM46 กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า (PS) ที่ 4,739 – 5,623 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,505 รอบ/นาที
2. มอเตอร์ไฟฟ้ารหัส MM48 กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ หรือ 136 แรงม้า (PS) ที่ 4,897 – 9,504 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 195 นิวตันเมตร ที่ 0 – 4,897 รอบ/นาที
3. ระบบควบคุมแรงบิด (Torque Distribution) แปรผันการกระจายกำลังหน้าและหล้ง ได้ตั้งแต่ 100 : 0 ไปจนถึง 0 : 100 แบบต่อเนื่อง
4. ระบบควบคุมแรงบิดขณะเลี้ยวหรือเข้าโค้ง (Torque Vectoring Control) ใช้แรงเบรกไฟฟ้าแต่ละล้อ เพื่อปรับทิศแรงขับ รักษาเสถียรภาพในโค้ง
5. ระบบควบคุมการปล่อยพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า (Pitch & Dive Suppression) ควบคุมแรงหน่วง หน้าและหลัง ให้สมดุล ลดการโยนตัวของรถ ขณะเบรก
หลักการทำงานของระบบ e-4ORCE จะอาศัยเซ็นเซอร์กว่า 20 จุด เพื่อตรวจจับมุมพวงมาลัย อัตราเหยียบคันเร่ง แรง G แนวตั้ง/แนวนอน การหมุนล้อ และแรงเบรก ทั้งหมดประมวลผลผ่าน Vehicle Dynamics Controller กลาง เพื่อสั่งจ่ายแรงบิดให้เหมาะกับสภาพถนนแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างการทำงาน เช่น ในโค้งเปียก ระบบจะลดกำลังของมอเตอร์ด้านนอกโค้ง เพิ่มด้านใน รักษาเส้นทางไม่ให้ท้ายปัด หรือบนทางลาดชัน ระบบจะใช้แรงมอเตอร์หลัง (ซึ่งมีแรงเสียดทานกับพื้นเยอะกว่าหน้า) สำหรับช่วยออกตัว
ด้านสมรรถนะการขับขี่ จากข้อมูลเทคนิคญี่ปุ่นและยุโรป X-Trail e-POWER e-4ORCE มีกำลังระบบรวมประมาณ 213 แรงม้า (PS) และแรงบิดรวม 525 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7 วินาที (เร็วกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร NA ในรุ่น T32 เกือบ 3 วินาที)
ระบบขับเคลื่อนทุกอย่างควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ Integrated Control Technology ที่ผสาน e-POWER, e-4ORCE และระบบควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว VDC เข้าเป็นหนึ่งเดียว ทำให้รถตอบสนองราวกับมี Adaptive Torque Brain ในตัว
ทีมพัฒนา Nissan ตั้งเป้าให้ระบบขับเคลื่อน e-4ORCE เพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว โดยไม่สูญเสียความนุ่มนวลในการโดยสาร โดยอาศัยหลักการต่างๆ อาทิ
Body Pitch Control ลดการโยนตัว – หลัง โดยใช้เทคนิคการกระจายกำลังล้อหน้า – หลัง แทนการปรับโช๊คอัพให้หนืด ส่งผลให้ผู้โดยสาร รู้สึกนิ่ง ขณะเร่ง – เบรก
Flat Corner Feel ลดการโยนตัวในระนาบซ้าย – ขวา ในจังหวะเข้าโค้ง ด้วยการกระจายแรงบิดแต่ละฝั่งอย่างรวดเร็ว ระดับ milli-second ทำให้ตัวรถเอียงน้อย
Linear Acceleration Feel แรงดึงไม่กระชากเพราะระบบมีการควบคุมแรงบิดให้สัมพันธ์กับการเหยียบคันเร่ง
————-//————-